ไทลาซีน (Thylacine) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ เสือทัสมาเนีย เป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีความลึกลับที่สุด ในประวัติศาสตร์ธรรมชาติ แม้ว่าจะถูกประกาศว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ตั้งแต่ปี 1936 แต่ไทลาซีนหรือเสือทัสมาเนีย ยังคงสร้างความหลงใหล และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับนักสำรวจ นักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะในทัสมาเนีย และออสเตรเลีย ที่ยังมีการรายงาน การพบเห็นสัตว์ชนิดนี้เป็นครั้งคราว
ไทลาซีน เป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง (Marsupial) ที่เคยพบได้ทั่วไปในออสเตรเลีย นิวกินี และทัสมาเนีย แต่ลักษณะที่แปลกคือ มันมีรูปร่างคล้ายเสือ และสุนัขมากกว่าสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องอื่น ๆ ตัวเต็มวัยของไทลาซีน มีขนาดพอๆ กับสุนัขตัวใหญ่ มีลายทางตามหลังที่คล้ายกับลายของ เสือโคร่ง จึงได้ชื่อมาว่า “เสือทัสมาเนีย“
ไทลาซีนมีหัวที่คล้ายกับหมาป่า และมีขากรรไกรที่สามารถอ้ากว้าง มากถึง 120 องศา มีความยาวรวมจากหัวจรดหาง ประมาณ 100-180 เซนติเมตร และน้ำหนักอยู่ระหว่าง 15-30 กิโลกรัมนอกจากนี้ ไทลาซีนยังมีหางที่เหมือนกับจิงโจ้ และขาหลังที่แข็งแรง จึงทำให้มันสามารถกระโดดได้คล้ายจิงโจ้ในบางครั้ง ลายทางบนหลังของมัน เป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุด ทำให้มันดูเหมือนกับเสือมากกว่า
วิถีชีวิตและพฤติกรรม
ไทลาซีนเป็นสัตว์ออกหากิน ในเวลากลางคืน และมักจะล่าเหยื่ออย่างเงียบ ๆ เชื่อว่ามันล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น กระต่าย และจิงโจ้ขนาดเล็ก โดยใช้ความเงียบและความรวดเร็วในการโจมตี ในขณะเดียวกัน มันยังเป็นสัตว์ที่รักสันโดษ และไม่ชอบอยู่เป็นกลุ่ม เหมือนกับหมาป่าหรือสิงโต
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
ชื่อทวินาม
ที่มา: “ไทลาซีน” [1]
ปี 1970-2000 : ในออสเตรเลียแผ่นดินใหญ่ มีรายงานจากนักท่องเที่ยว และคนท้องถิ่นที่อ้างว่า ได้พบสัตว์คล้ายไทลาซีน ในพื้นที่ป่าห่างไกล อย่างไรก็ตาม รายงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน และมีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นสัตว์ชนิดอื่น เช่น สุนัขดิงโกที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกัน
ปี 2017-2021 : ในออสเตรเลีย มีรายงานจากกล้องวงจรปิด ในพื้นที่ห่างไกลที่สามารถจับภาพสัตว์ ที่มีรูปร่างคล้ายไทลาซีนได้ แต่ภาพถ่ายเหล่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นไทลาซีนจริงหรือไม่
ไทลาซีน ถูกประกาศว่าสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ ในปี 1936 เมื่อไทลาซีนตัวสุดท้าย ที่ถูกกักขังในสวนสัตว์ทัสมาเนีย ได้เสียชีวิตลง สาเหตุหลักของการสูญพันธุ์นั้น มาจากการถูกล่าจากมนุษย์ ที่เชื่อว่าไทลาซีนเป็นภัยต่อปศุสัตว์ โดยเฉพาะแกะ ทำให้มีการเสนอรางวัล ให้กับผู้ที่สามารถจับ หรือฆ่าไทลาซีนได้ นอกจากนี้ การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป ยังทำให้ถิ่นที่อยู่อาศัย ของไทลาซีนถูกทำลายมากขึ้น และส่งผลให้จำนวนประชากรของมัน ลดลงอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการสูญพันธุ์ นอกจากการล่าที่เกินควรแล้ว โรคระบาดยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่คาดว่าอาจมีบทบาทสำคัญ ในการลดจำนวนประชากร ของไทลาซีน นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า ไทลาซีนอาจจะถูกระบาดด้วยโรค ที่แพร่กระจายในหมู่สัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง (Marsupials) ซึ่งส่งผลให้ประชากรของมัน ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
การแข่งขันจากสัตว์นักล่าอื่นๆ อย่างเช่น ดิงโก (Dingo) เป็นสัตว์นักล่าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับหมาป่า และมันได้เข้ามายึดครองพื้นที่ล่า ที่เคยเป็นของไทลาซีนในออสเตรเลีย ทำให้ไทลาซีน ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ในการหาอาหาร และที่อยู่อาศัย [2]
แม้ว่าไทลาซีน จะถูกประกาศว่าสูญพันธุ์ ไปแล้วตั้งแต่ปี 1936 แต่การค้นหา และรายงานการพบเห็นไทลาซีน ยังคงมีอยู่เป็นระยะ โดยมีรายงานการพบเห็นสัตว์ ที่มีลักษณะคล้ายกับไทลาซีน รวมถึงมีลายทางบนหลัง ซึ่งถือเป็นลักษณะที่โดดเด่น ของไทลาซีน โดยเฉพาะในทัสมาเนีย และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของมัน
การค้นหาไทลาซีนในปัจจุบัน ไม่ได้อาศัยแค่ความหวัง หรือโชคชะตาเท่านั้น แต่ยังใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ในการตรวจสอบพื้นที่ห่างไกล และตรวจจับร่องรอยของสัตว์ เช่น การใช้กล้องติดตั้งในป่า (camera traps) ที่สามารถบันทึกการเคลื่อนไหวของสัตว์ ได้ในช่วงเวลาที่ยาวนาน ซึ่งกล้องเหล่านี้ มักติดตั้งไว้ในพื้นที่ ที่มีรายงานการพบเห็นไทลาซีน และหวังว่าจะได้พบเจอมันอีกครั้ง
นอกจากการค้นหาในธรรมชาติแล้ว นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม ยังให้ความสนใจกับการคืนชีพไทลาซีน ผ่านเทคโนโลยีการโคลนนิ่ง DNA ซึ่งเป็นกระบวนการ ที่พยายามนำสัตว์ที่สูญพันธุ์ กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง โดยในปัจจุบันมีการค้นคว้า และวิจัยเกี่ยวกับ DNA ของไทลาซีน ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่กระบวนการนี้ ยังคงอยู่ในขั้นตอนการศึกษา และยังไม่มีรายงาน การประสบความสำเร็จ [3]
สรุป ไทลาซีน หรือเสือทัสมาเนีย เป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์ แม้ว่ามันจะถูกประกาศว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ตำนานของมันยังคงเป็นที่น่าติดตาม ความพยายามในการค้นหา และคืนชีพไทลาซีน อาจจะทำให้เราได้เห็นสัตว์ชนิดนี้ กลับมาอยู่ในธรรมชาติอีกครั้ง ในอนาคต การอนุรักษ์และปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ จากการสูญพันธุ์ จะเป็นภารกิจสำคัญ ที่เราต้องร่วมมือกันต่อไป