ไดโนเสาร์ หลายคนน่าจะรู้จักกันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ หรือภาพยนตร์ต่างๆ ไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน ที่อยู่บนโลกใบนี้มานานหลายล้านปี และถือเป็นกลุ่มสัตว์ที่ครองโลก ในช่วงยุค เมโซโซอิก (Mesozoic Era) นานถึง 165 ล้านปีเลยทีเดียว ไดโนเสาร์ มีทั้งขนาดเล็ก ไปจนถึงใหญ่ยักษ์จนเรานึกไม่ถึง แม้ว่าไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่การค้นพบฟอสซิล และการศึกษาวิจัย ยังคงทำให้พวกมันเป็นที่น่าสนใจอยู่เสมอ
ไดโนเสาร์ (dinosaur) ปรากฏตัวครั้งแรก ในยุคไทรแอสสิก (Triassic Period) ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม และการปรับตัว ของสิ่งมีชีวิตอย่างมากมาย การเกิดขึ้นของไดโนเสาร์นั้น เป็นผลมาจากการแยกสลาย ของซูเปอร์คอนติเนนต์ ที่เรียกว่า “แพนเจีย” (Pangea) ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่ใหม่ และสภาพอากาศที่เหมาะสม กับการพัฒนา ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ [1]
สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ มหาทวีปแพนเจีย ได้ที่ wikipedia
ในช่วงเวลาต่อมา ไดโนเสาร์ได้พัฒนา และมีความหลากหลายมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ที่แตกต่างกัน เช่น การเป็นนักล่า การกินพืช และการใช้พลังงานจากแสงแดด การวิวัฒนาการนี้ ทำให้ไดโนเสาร์สามารถครองโลกได้ เป็นเวลานานหลายล้านปี
ลักษณะทางชีววิทยา
ข้อมูลลักษณะ และพฤติกรรมของไดโนเสาร์ ยังไม่ทราบแน่ชัดนัก เพราะสูญพันธุ์เหลือแต่ซากดึกดำบรรพ์เท่านั้น นักบรรพชีวินวิทยาจึงต้องใช้ซากฟอสซิลนี้ในการสันนิษฐานของข้อมูลต่าง ๆ ของมัน ว่าลักษณะของไดโนเสาร์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ อาจมีผิวหนังที่ปกคลุมเป็นเกล็ด เช่นเดียวกับ งู จระเข้ หรือ เต่า
ไดโนเสาร์เริ่มปรากฏตัวขึ้น ในยุคไทรแอสสิก (Triassic Period) ประมาณ 230 ล้านปีก่อน ในช่วงเวลานั้น โลกยังคงเป็นทวีปแพนเจีย (Pangaea) ที่ไม่ได้แยกออกเป็นทวีปต่างๆ เหมือนในปัจจุบัน ทำให้สัตว์ในตำนานหลายชนิดล้มตาย เพราะปรับตัวจากสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนไปไม่ทัน
ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ในยุคนั้น ก็เริ่มวิวัฒนาการ และปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอด ไดโนเสาร์เองก็เริ่มวิวัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นสัตว์ที่ครองโลก ในช่วงยุคจูราสสิก (Jurassic Period) ซึ่งเป็นช่วงที่พวกมันแพร่กระจายไปทั่วโลก
ไดโนเสาร์สามารถแบ่งออก ได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ตามลักษณะของกระดูกเชิงกราน คือ ไดโนเสาร์เชิงกรานนก (Ornithischia) และไดโนเสาร์เชิงกรานสัตว์เลื้อยคลาน (Saurischia)
ไดโนเสาร์เชิงกรานนก (Ornithischia)
ไดโนเสาร์เชิงกรานสัตว์เลื้อยคลาน (Saurischia)
ที่มา: “ไดโนเสาร์” [2]
ไดโนเสาร์ ในการศึกษาวิทยาศาสตร์นั้น การค้นพบฟอสซิลเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญ เพราะฟอสซิลเหล่านี้ เป็นหลักฐานของการมีอยู่ของไดโนเสาร์ และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างแบบจำลอง ของชีวิตในอดีตได้ รวมถึงศึกษาว่าไดโนเสาร์ มีการปรับตัวอย่างไรในช่วงเวลาต่างๆ การค้นพบซากฟอสซิล สามารถบอกได้ถึงรูปร่าง ขนาด และลักษณะการดำรงชีวิตของไดโนเสาร์ นักวิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ ทางธรณีวิทยา เพื่อระบุอายุของฟอสซิลเหล่านี้ และทำให้เราทราบถึงช่วงเวลา ที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่
เทคโนโลยีที่ใช้ในการศึกษาไดโนเสาร์
ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ใช้เทคโนโลยี ที่ทันสมัย เช่น การสแกนด้วยคอมพิวเตอร์ (CT scan) และการสร้างแบบจำลอง 3 มิติ เพื่อศึกษาซากฟอสซิลอย่างละเอียด เทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยให้เราสามารถเข้าใจ ถึงโครงสร้างภายใน และกลไกการเคลื่อนไหวของไดโนเสาร์ รวมถึงสามารถจำลองเสียง และการเคลื่อนไหวของไดโนเสาร์ ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ (dinosaur) เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน เชื่อกันว่ามีอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น มีฝุ่นละอองปกคลุมชั้นบรรยากาศ จนแสงแดดส่องไม่ถึง ทำให้พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ และส่งผลกระทบ ต่อห่วงโซ่อาหารอย่างหนัก ไดโนเสาร์ซึ่งเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ จึงไม่สามารถปรับตัวได้ และสูญพันธุ์ไปในที่สุด
เหตุการณ์อุกกาบาตกับภูเขาไฟ
ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตหลังไดโนเสาร์
ยุคของไดโนเสาร์แบ่งออกเป็นสามยุคสำคัญ คือ ยุคไทรแอสสิก ยุคจูราสสิก (Jurassic Period) และยุคครีเตเชียส (Cretaceous Period)
ที่มา: “ได-โน-เสาร์” [3]
สรุป ไดโนเสาร์(dinosaur) เป็นสัตว์ที่มีความหลากหลาย และน่าสนใจมากในประวัติศาสตร์โลก แม้ว่าพวกมัน จะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ซากฟอสซิล และการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เรายังคงได้เรียนรู้ เกี่ยวกับพวกมันอยู่เสมอ การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และส่งผลให้สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆ สามารถก้าวขึ้นมาครองโลกได้ในที่สุด