เจาะประวัติ พุ๊ซอินบุ๊ทส์ ใน Puss in Boots : The Last Wish หรือชื่อไทย พุ๊ซอินบู๊ทส์ : ความปรารถนาครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่น ที่สร้างความประทับใจให้ผู้ชมทั้งเด็ก และผู้ใหญ่จากสตูดิโอ DreamWorks Animation โดยเป็นเรื่องราวที่เล่าเจาะลึก ถึงการผจญภัยครั้งใหม่ และการเผชิญหน้ากับความจริงของ “พุ๊ซ” แมวผู้กล้าหาญ
เจาะประวัติ พุ๊ซอินบู๊ทส์ (Puss in Boots) ในภาพยนตร์ “Puss in Boots : The Last Wish” เราได้พบกับการผจญภัยของเจ้าแมว ที่ไม่เหมือนใครอย่างพุ๊ซ แมวตัวน้อยที่กลายเป็นตำนาน และฮีโร่ผู้กล้าหาญ แห่งโลกเทพนิยาย ความสนุกสนาน และอารมณ์ที่ซึ้งกินใจ ล้วนมาบรรจบกันในเรื่องราว ซึ่งเต็มไปด้วยการค้นหาความหมายของชีวิต อย่างแท้จริง
ภาพยนตร์เปิดตัวด้วยการเผยให้เห็น ชีวิตอันโลดโผนของพุ๊ซ ที่กลายเป็นตำนาน แมวผู้โด่งดังที่มีทั้งชื่อเสียง เกียรติยศ และความรักจากผู้คนทั่วโลก เขาเป็นเหมือนวีรบุรุษ ที่ไม่เคยเกรงกลัวอันตรายใดๆ ใช้ชีวิตแบบไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตาม ชีวิตอันเต็มไปด้วยความเสี่ยง ก็ส่งผลให้เขา เสียชีวิตไปแล้วถึง 8 ครั้ง จากจำนวน 9 ชีวิตของแมว [1]
ซึ่งนั่นหมายความว่าพุ๊ซ เหลือชีวิตสุดท้าย ที่เขาต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง อย่างมากที่สุด เหตุการณ์สำคัญ เริ่มขึ้นเมื่อพุ๊ซได้พบกับ “เดธ” (Death) หมาป่าตัวร้าย ที่ทำหน้าที่เหมือนยมทูต ผู้คอยติดตาม และล่าเขา
เดธไม่เหมือนศัตรูคนใด ที่พุ๊ซเคยเจอ เพราะเขาไม่ได้เพียงแข็งแกร่ง แต่ยังเป็นตัวแทนของความตายที่แท้จริง ความกลัวที่พุ๊ซไม่เคยรู้จัก ก็เริ่มก่อตัวในหัวใจของเขา
หลังจากตระหนักว่าตัวเอง ไม่สามารถหลบหนีความตายได้อีกต่อไป พุ๊ซเลือกที่จะซ่อนตัว และละทิ้งตัวตนในฐานะ “พุ๊ซอินบู๊ทส์” เพื่อใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ที่บ้านของ “มาม่า ลูน่า” หญิงสูงวัยที่เลี้ยงแมวจำนวนมาก ในช่วงเวลานี้ เขาได้พบกับ “เปอร์โร” (Perrito) สุนัขจรจัดที่แฝงตัวมาอยู่ในฝูงแมว [2]
แม้ว่าเปอร์โรจะดูซื่อๆ และไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ แต่กลับมีหัวใจบริสุทธิ์ที่อบอุ่น และชีวิตที่เงียบสงบของพุ๊ซ ต้องสะดุดลง เมื่อเขาได้ยินเรื่องราวของ “ดวงดาวแห่งความปรารถนา” (The Wishing Star) สิ่งมหัศจรรย์ที่สามารถ ทำให้ความปรารถนาทุกสิ่งเป็นจริงได้
เขาเห็นว่านี่เป็นโอกาสดี ที่จะเรียกคืนชีวิตทั้ง 9 ชีวิตของเขา การเดินทางครั้งนี้ นำเขาไปพบกับ แมวคิตตี้ ซอฟท์พอว์ (Kitty Softpaws) แมวสาวผู้มากด้วยเสน่ห์ และทักษะคู่ปรับของพุ๊ซ ทั้งสองมีอดีตที่ขมขื่นระหว่างกัน แต่ก็จำเป็นต้องร่วมมือกันในครั้งนี้
ในการเดินทางของพุ๊ซ ต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับหลากหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มล้วนมีแรงจูงใจ และเป้าหมายของตัวเอง ที่เพิ่มความเข้มข้น และสีสันให้กับเรื่องราวได้อย่างลงตัว
ในขณะเดียวกัน พุ๊ซยังต้องเผชิญหน้ากับความกลัว ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต นั่นคือตัวละครที่ทรงพลังที่สุดในเรื่อง เดธหมาป่าตัวร้าย ที่เป็นตัวแทนของ “ความตาย” ที่แท้จริง เดธเป็นคู่ปรับ ที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน เพราะเขาไม่ได้ต้องการดวงดาวแห่งความปรารถนา แต่เขามีเป้าหมายเดียวคือ “การพรากชีวิตสุดท้ายของพุ๊ซ” [3]
แม้ว่าคู่ปรับเหล่านี้ จะสร้างอุปสรรคในการเดินทาง แต่ศัตรูที่แท้จริงของพุ๊ซกลับเป็น “ความกลัว” ในใจของเขาเอง ความกลัวที่จะสูญเสียชื่อเสียง ความเป็นตำนาน และสุดท้ายคือความกลัวตาย พุ๊ซต้องเรียนรู้ที่จะละทิ้งความหยิ่งทะนง และยอมรับว่าชีวิตที่มีเพียงครั้งเดียว ก็สามารถมีความหมายได้ ถ้าเขาเลือกที่จะใช้มันอย่างมีค่า
ตลอดการผจญภัย พุ๊ซเรียนรู้ว่าชีวิตมีค่ามากเพียงใด และการใช้ชีวิตแต่ละวันให้มีความหมาย สำคัญยิ่งกว่าการแสวงหาความอมตะ เขาตระหนักว่าความกล้าหาญที่แท้จริง ไม่ใช่การหนีจากความตาย แต่คือการเผชิญหน้ากับมัน ด้วยหัวใจที่ยอมรับความเปราะบางของตัวเอง
ตอนจบที่งดงาม ในท้ายที่สุด พุ๊ซเลือกที่จะไม่ใช้ดวงดาวแห่งความปรารถนา เพื่อขอชีวิตคืนมา แต่เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่ ร่วมกับคนที่เขารัก ทั้งเปอร์โร คิตตี้ และการเดินทางครั้งใหม่ ที่เต็มไปด้วยความหมาย
“พุ๊ซอินบู๊ทส์ : ความปรารถนาครั้งสุดท้าย” ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังสำหรับเด็ก แต่มันนำเสนอประเด็นที่ลึกซึ้ง เกี่ยวกับการยอมรับตัวตน ความรัก ความกลัว และคุณค่าของการใช้ชีวิตแบบเต็มที่ ทุกแง่มุมของเรื่องราว ถูกนำเสนออย่างสวยงาม ทั้งภาพ อนิเมชั่น และดนตรีประกอบ ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์อนิเมชั่น ที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้
สรุป พุ๊ซอินบุ๊ทส์ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต อย่างเต็มที่ในปัจจุบัน และการยอมรับความเปราะบางของตัวเอง พุ๊ซเรียนรู้ว่า ชีวิตไม่ได้มีค่าเพราะความเป็นตำนาน หรือความเป็นอมตะ แต่เพราะการแบ่งปันช่วงเวลา กับคนที่รัก และการกล้าเผชิญหน้ากับความจริง แม้กระทั่งความกลัว และความตาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ต้องยอมรับอย่างสง่างาม
เรื่องที่ว่า แมวมีเก้าชีวิต เป็นความเชื่อ และคำเปรียบเปรยที่มีมานานแล้ว ในหลายวัฒนธรรม แต่ในความเป็นจริง แมวไม่ได้มีเก้าชีวิต พวกมันมีเพียงชีวิตเดียวเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างเรา
ที่มาของความเชื่อนี้ เกิดจากความสามารถพิเศษของแมว ที่ดูเหมือน “รอดชีวิต” จากสถานการณ์อันตรายได้บ่อยครั้ง เช่น การตกจากที่สูงแล้วพลิกตัวกลางอากาศ เพื่อร่อนลงอย่างปลอดภัย (เรียกว่า “righting reflex”) หรือความว่องไว และทักษะหลบหนีที่น่าทึ่งของพวกมัน
ตัวเลข “9” มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ในหลายวัฒนธรรม เช่น ในตำนานโบราณของชาวอียิปต์ แมวถูกมองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเลขเก้า มีความเชื่อมโยงกับพลังเวทมนตร์ จึงอาจเป็นที่มาของความคิดเรื่อง “เก้าชีวิต” ของแมว
แต่ในความจริง แมวต้องการความดูแลอย่างระมัดระวัง เหมือนสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เพราะในความจริงพวกมันไม่ได้มีชีวิตเพิ่มขึ้น เมื่อประสบอุบัติเหตุ