วาฬสีน้ำเงิน (Balaenoptera musculus) ถือเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสัญลักษณ์ แห่งมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ ว่ายน้ำได้อย่างสง่างามพริ้วไหว ด้วยขนาดที่มหึมา ความใหญ่โตของมัน ทำให้มันเป็นที่สนใจอย่างมาก ทั้งนักชีววิทยา และคนทั่วไป แต่โดยทั่วไปและ ก็ไม่สามารถพบเห็นได้ง่ายนัก แต่อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะพามารู้จัก กับวาฬชนิดนี้กันให้มากขึ้น
วาฬสีน้ำเงิน มีสีผิวที่ผสมระหว่างสีฟ้า และเทา ซึ่งเมื่อถูกแสงแดดสะท้อน จะทำให้ดูสีน้ำเงินสดใส โดยเฉพาะเมื่อพวกมันอยู่ในน้ำ วาฬชนิดนี้มีหัวที่แบนใหญ่ และลำตัวที่ยาวเรียว ทำให้มีรูปร่างที่เหมาะสม กับการเคลื่อนไหวในน้ำ แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่วาฬสีน้ำเงินสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 20 ไมล์ต่อชั่วโมง (32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เมื่อจำเป็น
วาฬชนิดนี้สามารถเติบโต และยาวได้ถึง 100 ฟุต (ประมาณ 30 เมตร) และหนักถึง 200 ตัน เทียบเท่าได้กับน้ำหนัก ของเครื่องบินเจ็ทขนาดใหญ่ และใหญ่กว่า วาฬเพชฌฆาต หลายร้อยเท่า วาฬชนิดนี้มักจะพบได้ในน่านน้ำลึกและเย็น เช่นในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรแอตแลนติก ตอนเหนือ
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
ที่มา: “วาฬสีน้ำเงิน” [1]
อาหารหลักของวาฬสีน้ำเงินคือ แพลงก์ตอน และคริลล์ ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลขนาดเล็ก ที่พบได้ในมหาสมุทร วาฬสีน้ำเงินใช้วิธีกรองน้ำ เพื่อจับอาหารผ่านแผ่นฟัน ที่เรียกว่า “บาเลน” พวกมันสามารถกินคริลล์ ได้ถึง 4 ตันต่อวัน และสามารถดำน้ำลึก เพื่อไปหาอาหาร ได้ลึกถึง 150 เมตร และสามารถดำน้ำ ได้นานถึง 30 นาที อีกด้วย
วาฬชนิดนี้ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เช่นเดียวกับ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ วาฬสีน้ำเงินให้กำเนิดลูกวาฬ และให้นมลูกของมัน ลูกวาฬเกิดมามีขนาดใหญ่ ประมาณ 7-8 เมตร และน้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน ซึ่งเทียบเท่ากับช้างหนึ่งตัว
นมของวาฬสีน้ำเงินมีไขมันสูงมาก เพื่อให้ลูกวาฬ เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ลูกวาฬสามารถเพิ่มน้ำหนักได้ถึง 90 กิโลกรัมต่อวัน ในช่วงแรกเกิด วาฬสีน้ำเงินมีอายุขัย ประมาณ 70-90 ปี
วาฬสีน้ำเงิน เคยเป็นเป้าหมายหลัก ของการล่าวาฬในอดีต โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ในยุคที่การล่าวาฬ เป็นอุตสาหกรรมสำคัญ วาฬสีน้ำเงินถูกล่าอย่างหนัก เนื่องจากขนาดใหญ่ ที่ทำให้สามารถผลิตน้ำมันวาฬ (whale oil) ได้มาก ซึ่งน้ำมันนี้ถูกใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น ทำเทียนไข ใช้เป็นเชื้อเพลิง และผลิตสบู่ [2]
การล่าวาฬสีน้ำเงินเป็นอุตสาหกรรม ที่ทำให้ประชากรของวาฬชนิดนี้ ลดลงอย่างมาก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีในการล่าวาฬพัฒนาขึ้น เช่น การใช้เรือล่าวาฬที่เร็ว และปืนฉมวกที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การล่าวาฬ กลายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น
วาฬสีน้ำเงินเป็นสัตว์ที่ส่งเสียง ได้ดังที่สุดในโลกธรรมชาติ เสียงร้องของมัน สามารถได้ยินได้ไกล ถึงหลายร้อยไมล์ใต้ผิวน้ำ เสียงของวาฬสีน้ำเงินอยู่ในช่วงความถี่ต่ำ (15-40 Hz) ซึ่งอยู่ในช่วงที่มนุษย์ ได้ยินเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เสียงของวาฬสีน้ำเงินถูกใช้เพื่อการสื่อสาร กับวาฬตัวอื่นๆ และการนำทางในมหาสมุทร ที่กว้างใหญ่ [3]
การอพยพ ของวาฬสีน้ำเงินสามารถเกิดขึ้นได้ เป็นบางครั้ง วาฬเหล่านี้อาจปรากฏตัวในน่านน้ำของประเทศไทย ในช่วงฤดูที่พวกมันอพยพหากิน หรือย้ายถิ่นฐาน ไปยังแหล่งอาหารใหม่ แม้โอกาสจะน้อย แต่เคยมีรายงานว่า พบที่ไทยถึง 3 ครั้ง คือ
สรุป วาฬสีน้ำเงิน ไม่เพียงแค่เป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความงดงาม และความสง่างาม ของธรรมชาติในมหาสมุทร วาฬสีน้ำเงินยังเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เราเห็นถึงความสำคัญ ของการรักษาสมดุล ของสิ่งแวดล้อม และการปกป้องสัตว์ทะเล ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกนี้