วอลรัสแอตแลนติก (Atlantic walrus) เป็นหนึ่งในสองสายพันธุ์ ของวอลรัส ที่พบในแถบอาร์กติก เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะโดดเด่น โดยเฉพาะ เขี้ยวยาว และหนวดที่เรียกว่า “วิสเคอร์” นับว่าที่สัตว์เป็นเอกลักษณ์ น่าสนใจ และเป็นหนึ่งในสัตว์ ที่มีความสำคัญ ต่อระบบนิเวศ แถบขั้วโลกเหนือเป็นอย่างมาก
วอลรัสแอตแลนติก มีขนาดใหญ่ โดยตัวผู้สามารถ มีน้ำหนักได้ถึง 1,200 กิโลกรัม และความยาว ประมาณ 3-4 เมตร ส่วนตัวเมีย มีขนาดเล็กกว่า โดยทั่วไป น้ำหนักจะอยู่ที่ ประมาณ 600-800 กิโลกรัม และความยาวประมาณ 2.5 เมตร วอลรัสทั้งตัวผู้ และตัวเมียมีเขี้ยวขนาดใหญ่ยาวถึง 1 เมตร
ซึ่งใช้ในการป้องกันตัว ต่อสู้กับศัตรู ใช้ในการเจาะน้ำแข็ง และใช้ปีนขึ้นจากน้ำ ผิวหนังของวอลรัสแอตแลนติก หนาและหยาบ มีสีชมพู หรือสีน้ำตาลอมชมพู และมีความสามารถพิเศษ ในการปรับเปลี่ยนสีผิวได้ ตามอุณหภูมิ เมื่ออยู่ในน้ำเย็น สีผิวจะเข้มขึ้น และจะเปลี่ยนเป็นสีซีดลง เมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงขึ้น
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
ที่มา: “วอลรัส” [1]
วอลรัสชนิดนี้ อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชายฝั่ง ทะเลอาร์กติก และบริเวณน้ำตื้น ในเขตอาร์กติก ของมหาสมุทร แอตแลนติกตอนเหนือ พบได้ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น แถบอาร์กติก ของแคนาดา กรีนแลนด์ และนอร์เวย์ ในฤดูหนาว วอลรัสแอตแลนติกจะอยู่ในพื้นที่ ที่มีน้ำแข็งหนา และสามารถป้องกันตัว จากนักล่าได้
แต่ในฤดูร้อน เมื่อน้ำแข็งละลาย พวกมันจะอพยพ ไปยังพื้นที่น้ำตื้นหรือชายฝั่ง เพื่อหาอาหาร และผสมพันธุ์ การอพยพนี้สำคัญ ต่อการรอดชีวิต เนื่องจากช่วยให้วอลรัส สามารถหลีกเลี่ยง การเผชิญหน้ากับนักล่า เช่น หมีน้ำแข็ง ซึ่งมักล่าวอลรัส ในพื้นที่น้ำแข็ง
วอลรัสแอตแลนติกเป็นสัตว์กินเนื้อ ที่หาอาหารจากใต้ท้องทะเล อาหารหลักของมันคือ หอยสองฝา เช่น หอยแมลงภู่ และหอยทะเลชนิดต่าง ๆ รวมถึง สัตว์ทะเลขนาดเล็กอื่น ๆ เช่น ปลิงทะเล และหนอนทะเล พวกมันใช้หนวด ที่มีความไวสัมผัสสูง ในการค้นหาเหยื่อ ใต้พื้นท้องทะเล
วอลรัสมีอายุขัยเฉลี่ย ประมาณ 20–30 ปีในธรรมชาติ โดยตัวผู้ สามารถเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ได้เมื่ออายุประมาณ 7 ปี แต่โดยทั่วไป จะเริ่มผสมพันธุ์เมื่ออายุ 15 ปี ตัวเมียเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ที่อายุน้อยกว่า โดยสามารถตกไข่ ตั้งแต่อายุ 4–6 ปี ช่วงการตั้งครรภ์ จะกินเวลานานประมาณ 15-16 เดือน จึงจะคลอดลูก
วอลรัสที่เกิดใหม่ จะมีน้ำหนักประมาณ 45-75 กิโลกรัม และอยู่ภายใต้ การดูแลของแม่วอลรัส เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี ในระหว่างนั้น ลูกวอลรัสจะค่อย ๆ เรียนรู้วิธีการหาอาหาร และการเอาชีวิตรอด ในสภาพแวดล้อม ที่หนาวเย็นได้ [2]
วอลรัสแอตแลนติก มีบทบาทสำคัญ ในระบบนิเวศใต้น้ำอาร์กติก โดยการกินสัตว์ทะเลขนาดเล็ก เช่น หอย ปลิงทะเล และหนอนทะเล ซึ่งเป็นการควบคุม ประชากรของสัตว์เหล่านี้ หากมีจำนวนมากเกินไป ระบบนิเวศ อาจจะเกิดความไม่สมดุลได้
วอลรัสใช้หนวดที่ไวสัมผัสสูง ในการค้นหา และตรวจจับเหยื่อ บริเวณพื้นทะเล เมื่อลงไปใต้น้ำลึก วอลรัสสามารถดำน้ำได้นาน ประมาณ 5-10 นาที และหากินในพื้นที่น้ำลึก ประมาณ 80-100 เมตร [3]
วอลรัสชนิดนี้ เป็นสัตว์ที่มีสถานะ ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ ทำให้น้ำแข็งอาร์กติกละลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่หากิน และการสืบพันธุ์ ของพวกมัน นอกจากนี้ การล่าสัตว์เพื่อการค้าขายเขี้ยว และหนังวอลรัสในอดีต ได้ส่งผลให้ประชากรวอลรัส ลดลงอย่างมาก
แม้ปัจจุบัน การล่าวอลรัสจะถูกควบคุม แต่ภัยคุกคาม จากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ ยังคงเป็นปัญหาหลัก สำหรับการดำรงชีวิตของพวกมัน การอนุรักษ์วอลรัสแอตแลนติก จึงต้องเป็นไปอย่างเข้มงวด รวมถึงความร่วมมือ ระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องถิ่นที่อยู่อาศัย ของวอลรัสเหล่านี้ ให้คงอยู่ในสภาพ ที่เหมาะสมต่อไป
วอลรัสแอตแลนติกมักอยู่รวมกันเป็นฝูง ที่มีขนาดตั้งแต่ไม่กี่ตัว จนถึงหลายพันตัว โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ที่พวกมันมักจะมารวมกลุ่ม บนแผ่นน้ำแข็ง หรือชายฝั่งที่เปิดโล่ง ฝูงของวอลรัสนี้ จะประกอบด้วยวอลรัส ทั้งตัวผู้และตัวเมีย โดยตัวผู้ที่มีขนาดใหญ่ และมีอายุมาก จะอยู่ตำแหน่งที่สูงกว่า ในลำดับของสังคม
วอลรัสแอตแลนติกจะใช้การส่งเสียง และภาษากาย ในการสื่อสารระหว่างกัน การใช้เสียงร้อง จะมีลักษณะเสียงดัง ซึ่งสามารถได้ยินได้ไกล เพื่อเรียกหากัน และเตือนภัยให้แก่ฝูง วอลรัสที่โตเต็มวัย ยังใช้เขี้ยวในการป้องกันตัว และแสดงความแข็งแกร่ง ให้กับสมาชิกในฝูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูผสมพันธุ์
สรุป วอลรัสแอตแลนติก เป็นสัตว์ทะเล ที่มีลักษณะพิเศษ และมีความสำคัญ ในระบบนิเวศ ทางทะเลของอาร์กติก แม้จะดูแข็งแกร่ง และปรับตัวได้ดี ในสภาพแวดล้อมเย็นจัด แต่ภัยคุกคามต่างๆ ทำให้วอลรัสแอตแลนติกอยู่ในความเสี่ยง ดังนั้นการอนุรักษ์ จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาแหล่งที่อยู่อาศัย และความอยู่รอด ของวอลรัสในระยะยาว