นกคาคาโป (Kakapo) เป็นหนึ่งในนกที่น่าทึ่ง และไม่เหมือนใครที่สุดในโลก มันเป็นนกแก้วขนาดใหญ่ ที่ไม่สามารถบินได้ และมีเอกลักษณ์ ทั้งในด้านพฤติกรรมและรูปร่าง แม้จะเป็นสัตว์ที่สวยงาม และน่าสนใจ แต่โชคร้ายที่มันเป็นสัตว์ ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ปัจจุบันพบได้เฉพาะ ในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น การอนุรักษ์นกคาคาโป จึงเป็นเรื่องสำคัญมากเพื่อให้แน่ใจว่า เราจะยังเห็นสัตว์ชนิดนี้ในอนาคต
นกคาคาโป เป็นนกแก้วที่มีประวัติการอาศัย อยู่ในนิวซีแลนด์มาอย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่จำนวนของมัน ลดลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการล่าจากมนุษย์ และสัตว์นักล่า ที่ถูกนำเข้ามาในพื้นที่ เช่น แมวและหนู ในอดีต นกคาคาโปเคยมีจำนวนมากมาย และอาศัยอยู่ทั่วเกาะนิวซีแลนด์ แต่เมื่อมนุษย์เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐาน การล่าหาอาหาร และการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทำให้มันเกือบสูญพันธุ์
การค้นพบ และการอนุรักษ์นกคาคาโป เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 รัฐบาลนิวซีแลนด์ และองค์กรอนุรักษ์หลายแห่ง ได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยชีวิตสัตว์ชนิดนี้
นกคาคาโปเป็นนกแก้วที่ใหญ่ และหนักที่สุดในโลก จะว่าจัดอยู่ใน นกสายพันธุ์แปลก ก็ว่าได้ โดยน้ำหนักเฉลี่ยของมันจะอยู่ที่ประมาณ 2 ถึง 4 กิโลกรัม นอกจากจะมีลำตัวขนาดใหญ่แล้ว นกคาคาโปยังมีขนสีเขียวอมเหลือง ที่ช่วยในการพรางตัว กับสภาพแวดล้อมป่าธรรมชาติ ทำให้มันมีโอกาสรอด จากสัตว์นักล่าที่มากขึ้น
แม้จะเป็นนกที่มีปีก แต่นกคาคาโปไม่สามารถบินได้ เนื่องจากโครงสร้างร่างกายของมัน และน้ำหนักที่มากเกินไป ปีกของมัน ใช้เพียงแค่ช่วยในการทรงตัว ขณะที่กระโดดจากที่สูง หรือต้นไม้เท่านั้น มันจึงกลายเป็นนก ที่หากินอยู่บนพื้นดินเป็นหลัก
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
ชื่อทวินาม
ที่มา: “ นกแก้วคาคาโป ” [1]
นกคาคาโปเป็นสัตว์ที่หากิน ในเวลากลางคืน (nocturnal) และมีการใช้ชีวิตที่เงียบสงบ โดยจะออกหากิน เฉพาะช่วงเวลากลางคืน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่า ที่อาจอยู่ในพื้นที่ นกคาคาโปชอบกินผลไม้ ใบไม้ และรากไม้ต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารหลักของมัน
พฤติกรรมการผสมพันธุ์ ของนกคาคาโป ก็มีความเฉพาะตัว นกตัวผู้จะสร้างเสียงดังคล้าย “บูม” ซึ่งเป็นเสียงที่สามารถได้ยินไกลถึง 5 กิโลเมตร เพื่อดึงดูดตัวเมีย และการผสมพันธุ์จะเกิดขึ้น เพียงปีละครั้งหรือบางครั้งนานกว่านั้น ทำให้การเพิ่มจำนวนของนกคาคาโป เป็นไปอย่างช้า
นกคาคาโป สำหรับนกชนิดนี้ นักวิจัยและนักอนุรักษ์ ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาวิธีการใหม่ๆ ในการปกป้องนกคาคาโป โดยมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หนึ่งในโครงการสำคัญ ในการช่วยอนุรักษ์นกคาคาโปคือ Kakapo Recovery Programme ซึ่งเป็นโครงการ ที่ดำเนินการโดยกรมอนุรักษ์ธรรมชาติ ของนิวซีแลนด์ (Department of Conservation – DOC) โดยมีการดำเนินการหลายแนวทาง เพื่อช่วยปกป้องนกคาคาโป และเพิ่มจำนวนประชากรของมัน [2]
การย้ายประชากรไปยังเกาะที่ปลอดนักล่า : เพื่อปกป้องนกคาคาโป จากสัตว์นักล่า มาตรการหลักคือ การย้ายพวกมัน ไปยังเกาะที่ไม่มีนักล่า เช่น เกาะ Codfish และเกาะ Anchor เกาะเหล่านี้เป็นพื้นที่ ที่ได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยจากนักล่า และมีสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสมในการดำรงชีวิต
การติดตาม และดูแลประชากรอย่างใกล้ชิด : นักวิจัยใช้เครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัย เช่น ระบบติดตาม GPS เพื่อเฝ้าติดตามพฤติกรรม ของนกคาคาโป รวมถึงการเฝ้าระวังการผสมพันธุ์ และการเจริญเติบโตของลูกนก [3]
การเพาะพันธุ์ในห้องปฏิบัติการ : เพื่อเพิ่มจำนวนประชากร ในช่วงที่การผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเกิดขึ้นไม่บ่อย โครงการมีการเพาะพันธุ์นกคาคาโป ในห้องปฏิบัติการ และปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติเมื่อมันพร้อม
การฟื้นฟูแหล่งอาหาร : นอกจากการจัดหาถิ่นที่อยู่ที่ปลอดภัย การปลูกต้นริมูและการรักษาสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสมในการผสมพันธุ์ ก็เป็นส่วนสำคัญในการอนุรักษ์ เพราะอาหารมีผลต่ออัตราการผสมพันธุ์ ของนกคาคาโป
สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้นกคาคาโปใกล้สูญพันธุ์ มาจากการที่มันไม่สามารถป้องกันตัวเอง จากสัตว์นักล่าที่ถูกนำเข้ามา ในนิวซีแลนด์ เช่น หนู แมว และตัวพอสซัม ซึ่งล่าลูกนกและไข่ของมัน นอกจากนี้ การที่นกคาคาโปไม่สามารถบินได้ ทำให้มันหนีจากนักล่า ได้ยากอีกด้วย
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนประชากรของนกคาคาโป ลดลงอย่างมาก จนในบางช่วงเหลือเพียงไม่ถึง 50 ตัว อย่างไรก็ตาม โครงการอนุรักษ์นกคาคาโป ได้พยายามช่วยฟื้นฟูประชากรของมัน โดยการย้ายไปยังเกาะ ที่ปลอดภัยจากนักล่า และการเฝ้าติดตามการผสมพันธุ์ และการฟักไข่อย่างใกล้ชิด
สรุป นกคาคาโป (Kakapo) เป็นนกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านรูปลักษณ์และพฤติกรรม แต่ปัจจุบันมันอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ การอนุรักษ์นกคาคาโป จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์ชนิดนี้ จะยังคงมีอยู่ในธรรมชาติ คนทั่วโลกสามารถช่วยสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ เกี่ยวกับนกคาคาโป หรือสนับสนุนการทำงานขององค์กรอนุรักษ์