ความพิเศษของ นกกิลลีมอตดำ แห่งทะเลขั้วโลกเหนือ

นกกิลลีมอตดำ

นกกิลลีมอตดำ (Cepphus grylle) เป็นนกทะเลขนาดเล็ก ที่มีความพิเศษ ทั้งในด้านรูปลักษณ์ และพฤติกรรม มีความโดดเด่น ในฐานะนกที่เชื่อมโยง กับระบบนิเวศ ชายฝั่งที่หนาวเย็น ของขั้วโลกเหนือ ด้วยความสามารถพิเศษ และการปรับตัว เพื่อความอยู่รอด ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง นกกิลลีมอตดำจึงเป็นตัวแทน ของธรรมชาติที่แข็งแกร่ง และสง่างาม

ลักษณะเด่นของ นกกิลลีมอตดำ

นกกิลลีมอตดำ มีความยาวลำตัวประมาณ 30-32 ซม. น้ำหนักเฉลี่ย 400-500 กรัม มีขนสีดำสนิทในช่วงฤดูร้อน ตัดกับจุดขาวบนปีกที่มองเห็นได้ชัดเจน และขาสีแดงสดที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับในฤดูหนาว ขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวเทา

มีลวดลายดำกระจาย ที่ช่วยพรางตัวในภูมิประเทศ ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง และหิมะ การเปลี่ยนสีของขนนี้ เป็นผลจากวิวัฒนาการ ที่ช่วยให้นกหลีกเลี่ยงผู้ล่า เช่น หมาจิ้งจอกอาร์กติก และนกอินทรีทะเล

การจำแนกประเภททางวิทยาศาสตร์

  • โดเมน : Eukaryota
  • อาณาจักร : Animalia สัตว์ในตระกูล
  • แอนิมาเลีย
  • ไฟลัม : Chordata
  • ระดับ : Aves
  • คำสั่ง : วงศ์ Charadriiformes
  • ตระกูล : Alcidae
  • ประเภท : Cepphus
  • สายพันธุ์ : C. grylle
  • ชื่อทวินาม : Cepphus grylle

ที่มา: “Black guillemot” [1]

ถิ่นที่อยู่อาศัย ของนกกิลลีมอตดำ

นกกิลลีมอตดำพบได้ ในแถบขั้วโลกเหนือ และบริเวณชายฝั่งทะเล ในภูมิภาคแอตแลนติกเหนือ พื้นที่หลักที่พบ ได้แก่ ไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ นอร์เวย์ รัสเซีย และชายฝั่งตะวันออกของแคนาดา พวกมันชอบพื้นที่ ที่มีโขดหินหน้าผา และน้ำลึก ซึ่งเป็นที่เหมาะ สำหรับการล่าอาหาร

ในฤดูหนาว นกเหล่านี้จะอพยพไปยังชายฝั่ง ที่น้ำไม่กลายเป็นน้ำแข็ง เช่น ชายฝั่งตะวันตก ของสหราชอาณาจักร และอเมริกาเหนือ

พฤติกรรม และการดำรงชีวิต

กิลลีมอตดำมีพฤติกรรมที่โดดเด่น ในการล่าอาหาร มันสามารถดำน้ำลึกถึง 15-43 เมตร โดยใช้ปีกเป็นตัวพายใต้น้ำ อาหารหลักของมันคือ ปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาทราย (Ammodytes) และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ในทะเล เช่น กุ้งและปู ในฤดูผสมพันธุ์ (ช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน) นกจะจับคู่ และสร้างรังในโพรงหิน ตามชายฝั่ง

ตัวเมียวางไข่ประมาณ 1-2 ฟอง ซึ่งมีลวดลายสีดำ บนพื้นไข่สีอ่อน เพื่อพรางตัวจากผู้ล่า ทั้งพ่อและแม่ ช่วยกันฟักไข่ การฟักไข่ของพ่อแม่นก จะใช้เวลาประมาณ 28 ถึง 32 วัน เมื่อฟักออกจากไข่แล้ว ทั้งสองจะช่วยกันเลี้ยงลูก จนสามารถบินได้ ลูกนกจะเป็นอิสระ อย่างสมบูรณ์ และเมื่ออายุได้ 3 หรือ 4 ปี ลูกนกถึงจะเริ่ม กลับเข้าร่วมฝูงนกอีกครั้ง [2]

ความสัมพันธ์ นกกิลลีมอตดำ กับระบบนิเวศ

นกกิลลีมอตดำ

นกกิลลีมอตดำ เป็นตัวบ่งชี้สุขภาพ ของระบบนิเวศชายฝั่ง การล่าอาหารของมัน ช่วยสะท้อนถึงความสมบูรณ์ ของแหล่งอาหารในทะเล เช่น หากมีปลาขนาดเล็ก และสัตว์ทะเลอื่น ๆ ลดลง อาจเป็นสัญญาณ ของการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นอันตรายในระบบนิเวศ

ในแง่ของบทบาท ในห่วงโซ่อาหาร นกชนิดนี้ อยู่ในฐานะผู้ล่าระดับกลาง มันช่วยควบคุม ประชากรสัตว์ทะเลขนาดเล็ก และในขณะเดียวกัน ก็เป็นแหล่งอาหาร ของผู้ล่าขนาดใหญ่ เช่น นกอินทรีทะเล

อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในขั้วโลกเหนือ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม ของนกกิลลีมอตดำอย่างชัดเจน น้ำทะเลที่อุ่นขึ้น ทำให้ประชากร ของปลาขนาดเล็กลดลง นอกจากนี้ การละลายของน้ำแข็ง ทำให้แหล่งที่อยู่อาศัย ของพวกมันลดลง

 นกกิลลีมอตดำในวัฒนธรรม และการวิจัย

นกกิลลีมอตดำเป็นส่วนหนึ่ง ของวัฒนธรรมชุมชน ของชาวประมง ในแถบขั้วโลกเหนือ ในบางพื้นที่ นกชนิดนี้ ถูกมองว่าเป็นตัวแทน ของความอดทน และความสามารถ ในการปรับตัวในสภาพ ที่ยากลำบาก

ในแง่ของการวิจัย นกกิลลีมอตดำเป็นหัวข้อสำคัญ สำหรับการศึกษา เกี่ยวกับผลกระทบ ของการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ เพราะพฤติกรรม การล่าอาหาร และการอพยพของมัน เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลง ในระบบนิเวศทะเลโดยตรง

สถานะของนกกิลลีมอตดำ ในปัจจุบัน

ตามรายงานของ IUCN นกกิลลีมอตดำถูกจัดอยู่ในสถานะ Least Concern (LC) ซึ่งหมายถึง ยังไม่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ภัยคุกคามในระยะยาว ได้แก่ มลพิษทางทะเล เช่น การรั่วไหลของน้ำมัน และพลาสติก ที่ปนเปื้อนในทะเล รวมถึงการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ [3]

โครงการอนุรักษ์หลายแห่ง ได้เริ่มดำเนินการ เช่น การลดมลพิษ และการปกป้องพื้นที่รัง ของนกชนิดนี้ เพื่อให้ประชากร ของนกกิลลีมอตดำ ยังคงมีความสมบูรณ์ ในธรรมชาติ

สรุป นกกิลลีมอตดำ Cepphus grylle

สรุป นกกิลลีมอตดำ เป็นนกทะเลที่งดงาม และเปี่ยมด้วย ความสามารถเฉพาะตัว เป็นสัญลักษณ์สำคัญ ที่สะท้อนถึงความเปราะบาง ของระบบนิเวศชายฝั่ง ที่กำลังเผชิญกับแรงกดดัน จากมนุษย์ และธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ การอนุรักษ์พื้นที่ ชายฝั่งทะเล จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ควรได้รับการสนับสนุน เพื่อให้สิ่งมีชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับทะเล สามารถดำรงอยู่ได้ อย่างยั่งยืน

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง