ซาลาแมนเดอร์ (Salamander) เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ในกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก วงศ์ Caudata หรือ Urodela ซึ่งมีความพิเศษในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการงอกอวัยวะใหม่ ซาลาแมนเดอร์บางชนิด เช่น แอกโซลอเติล (Axolotl) ยังสามารถ คงสภาพการเป็นตัวอ่อน ตลอดชีวิตได้ ซึ่งทำให้เป็นสัตว์ ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ในงานวิจัยชีวการแพทย์ และการศึกษา
ซาลาแมนเดอร์ มีความสามารถที่โดดเด่น ในการงอกอวัยวะใหม่ เช่น ขา หาง และแม้กระทั่ง เนื้อเยื่อของหัวใจ และสมอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติ ที่ได้รับความสนใจ ในงานวิจัยทางการแพทย์อย่างมาก เนื่องจาก ซาลาแมนเดอร์สามารถงอกเนื้อเยื่อ ที่ซับซ้อน โดยไม่เกิดรอยแผลเป็น หรือการอักเสบ ซึ่งเป็นแนวทาง ที่อาจนำไปสู่การพัฒนา วิธีการฟื้นฟูอวัยวะ ในมนุษย์ในอนาคตได้ [1]
ซาลาแมนเดอร์มีลำตัวเพรียว หางยาวคล้าย กิ้งก่า ซาลาแมนเดอร์ที่พบส่วนมากมีขา 2 คู่ มีขนาดตั้งแต่ประมาณ 27 มม. – 1.8 เมตร แม้ว่าบางชนิด จะมีสีสันสวยงาม หรือมีลวดลายแปลกตา เช่น สีส้ม สีเหลือง และมีลวดลายจุด เพื่อป้องกันตนเองจากผู้ล่า ระบบการหายใจของซาลาแมนเดอร์ นับว่าเป็นหนึ่งในสิ่ง ที่น่าสนใจที่สุด
เพราะบางชนิดสามารถหายใจ ผ่านทางผิวหนังได้โดยตรง บางชนิดมีเหงือก หรือปอดในช่วงวัยที่แตกต่างกัน ซึ่งระบบการหายใจ ที่หลากหลายนี้ ช่วยให้ซาลาแมนเดอร์ สามารถปรับตัว และอาศัยในสภาพแวดล้อม ที่แตกต่างกันได้ดี เช่น ป่าชื้น ลำธาร หรือแหล่งน้ำจืดที่มีออกซิเจนต่ำ
ซาลาแมนเดอร์เป็นสัตว์ ที่พบได้ในหลายภูมิภาคทั่วโลก มักจะพบในแหล่ง ที่มีน้ำสะอาดและการไหลของน้ำที่ไม่รุนแรง เพราะมันต้องการน้ำ เพื่อการฟักไข่ และการพัฒนาอวัยวะต่าง ๆ บางชนิดสามารถอาศัย อยู่บนบกในพื้นที่ชื้น และเย็น เช่น ใต้ก้อนหินหรือในโพรงไม้ หากสภาพแวดล้อม แห้งเกินไป มันจะไม่สามารถอยู่รอดได้ เนื่องจากผิวหนัง ของซาลาแมนเดอร์สามารถดูดซับน้ำได้ง่าย และต้องการความชื้นสูงตลอดเวลา
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
ที่มา: “ซาลาแมนเดอร์” [2]
ซาลาแมนเดอร์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญ ในตำนานและความเชื่อ หลายวัฒนธรรมทั่วโลก ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะในยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ซาลาแมนเดอร์เป็นที่รู้จักว่า เป็นสัตว์ที่สามารถ ทนต่อไฟได้ หรือมีพลังเวทมนตร์ ที่เกี่ยวข้องกับธาตุไฟ
ในยุโรปสมัยยุคกลาง เชื่อกันว่า ซาลาแมนเดอร์เป็นสัตว์เวทมนตร์ ที่สามารถอยู่ในไฟ และไม่ได้รับอันตราย ชาวกรีกโบราณ และชาวโรมัน ยังเชื่อว่า ซาลาแมนเดอร์สามารถดับไฟได้ ว่ากันว่า พวกมันสามารถปล่อยสาร ที่ทำให้ไฟดับได้ เมื่อถูกไฟไหม้ ความเชื่อนี้ อาจเกิดจากการที่ซาลาแมนเดอร์ อาศัยอยู่ตามท่อนซุงที่ชื้น ดังนั้นเมื่อนำท่อนซุงไปเผา ซาลาแมนเดอร์จะวิ่งหนีออกจากไฟ ทำให้ดูเหมือนว่า มันเกิดจากไฟ
ซาลาแมนเดอร์หลายสายพันธุ์ มีต่อมพิษซึ่งผลิตสารเคมี ที่ใช้ป้องกันตัวจากผู้ล่า ต่อมพิษเหล่านี้ มักจะอยู่บริเวณผิวหนัง และสร้างสารพิษที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของซาลาแมนเดอร์ โดยเฉพาะ ในซาลาแมนเดอร์พันธุ์ที่มีสีสด เช่น สีเหลือง ส้ม หรือดำ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือน ถึงอันตรายของสารพิษที่พวกมันมี
สารพิษ ที่ผลิตโดยซาลาแมนเดอร์ มักประกอบด้วยสาร tetrodotoxin (TTX) ซึ่งเป็นสารพิษที่มีฤทธิ์ ต่อระบบประสาท สามารถปิดกั้นการทำงาน ของเซลล์ประสาท ทำให้เกิดอาการชาและอัมพาต หากถูกกินเข้าไป ผู้ล่าอาจเกิดอาการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต ซาลาแมนเดอร์บางชนิด มีสารพิษชนิดอื่น ๆ ที่สามารถระคายเคืองผิวหนัง หรือเยื่อเมือกของสัตว์ และมนุษย์ได้ เช่น สาร alkaloid และ steroidal glycosides [3]
สารพิษของซาลาแมนเดอร์นั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับการล่า แต่เพื่อป้องกันตัว จากสัตว์นักล่าที่พยายาม จะกินพวกมัน พิษของซาลาแมนเดอร์บางสายพันธุ์ มีความรุนแรงสูง พอที่จะป้องกันผู้ล่าขนาดใหญ่เช่น งูและนก และในบางกรณี พิษของซาลาแมนเดอร์ยังสามารถ ส่งผลกระทบ ต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้
ปัจจุบัน ซาลาแมนเดอร์หลายชนิด อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ สาเหตุหลัก มาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย มลพิษทางน้ำ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการแพร่ระบาดของเชื้อรา Batrachochytrium dendrobatidis (Bd) หรือที่รู้จักในชื่อ chytrid fungus
ซึ่งเป็นเชื้อรา ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง และเป็นภัยคุกคาม ต่อชีวิตของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั่วโลก เชื้อรานี้สามารถ แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในธรรมชาติ และเป็นสาเหตุ ให้ซาลาแมนเดอร์หลายสายพันธุ์ มีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว
สรุป ซาลาแมนเดอร์ เป็นสัตว์ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ทั้งในด้านชีววิทยา และการแพทย์ ความสามารถ ในการงอกอวัยวะใหม่ และระบบการหายใจที่หลากหลาย ทำให้พวกมัน เป็นสัตว์ที่มีคุณค่า ในการศึกษา นอกจากนี้ บทบาทของซาลาแมนเดอร์ ในระบบนิเวศ ยังสำคัญต่อความสมดุล ของสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่อาศัย และการควบคุมโรค จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อปกป้องซาลาแมนเดอร์ และรักษาความสมดุล ของระบบนิเวศ