
อัลปาก้า นิสัย สัตว์อีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ด้วยหน้าตาที่น่ารัก ขนที่ฟองฟู ทำให้พวกมันถูกเลี้ยงไว้เป็น สัตว์เลี้ยงง่ายตัวใหญ่ ตั้งแต่เมื่อ 6,000 ปีก่อน ทั้งเปรู สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รวมไปถึงสหราชอาณาจักร
โดยบล็อกนี้จะพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจ ถึงลักษณะนิสัย พฤติกรรม ตามด้วยข้อมูลตัวเลขที่เกี่ยวกับ รายใหญ่ส่งออกผลิตภัณฑ์ขน และราคาที่จะต้องจ่าย หากต้องการเลี้ยงพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง
“ อัลปาก้า ” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลอูฐ มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ จัดว่าเป็น สัตว์ป่าอเมริกาใต้ ที่ถูกเลี้ยงรวมกันเป็นฝูง บนพื้นที่ราบสูงเทือกเขาแอนดีส ซึ่งจะอยู่อาศัยจากระดับความสูงน้ำทะเล 3,500 – 5,000 เมตร โดยเมื่อไม่นานมานี้ พบ สัตว์บก ชนิดนี้ในฟาร์ม ในไร่เกือบทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันพวกมันมีถึง 2 สายพันธุ์
ได้แก่ อัลปาก้าซูริ และอัลปาก้าฮัวกายา ด้วย 2 สายพันธุ์นี้มีความคล้ายคลึง กับลามะเป็นอย่างมาก ทำให้มีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ลามะคืออัลปาก้า [1] เช่นเดียวกันกับสัตว์อีกหนึ่งชนิด ที่มีความคล้ายกับตัวต่อ ตัวแตน อย่าง “ ผึ้ง ” แมลงที่มักถูกตั้งคำถามบ่อย ๆ ว่า ผึ้ง มีกี่แบบ ที่พบเจอในไทย และประเทศใกล้เคียง
ด้วยลักษณะนิสัย รวมไปถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของอัลปาก้า เห็นได้ชัดเจนเลยว่า อัลปาก้า นิสัย มีความทรหดอดทนเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นสัตว์มีระบบทางสังคม ในรูปแบบเป็น สัตว์สังคม ที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ประกอบไปด้วย ตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูง ตัวเมีย และเหล่าลูกน้อย เมื่อไหร่ที่พวกมันจะเตือนฝูง ว่ามีสัตว์ชนิดอื่น ๆ เข้ามาบุกรุก
พวกมันจะหายใจเข้าออกแรง ๆ มีเสียงร้องแหลมสูง นี่อาจทำให้อัลปาก้าตัวอื่น เข้าโจมตีสัตว์นั้น ๆ ด้วยเท้าหน้า และอาจถ่มน้ำลายใส่ อย่างไรก็ตาม อัลปาก้าอาจมีบ้างที่ก้าวร้าว บางครั้งก็จะอ่อนโยน ฉลาด และช่างสังเกตมาก แต่ส่วนใหญ่พวกมันมักจะเงียบ จะก้าวร้าวก็ต่อเมื่อถูกคุกคาม [2]
ที่มา: WIKIPEDIA – Alpaca [2]
หลาย ๆ พื้นที่ในบางประเทศ มีการเลี้ยงอัลปาก้าเป็น สัตว์สร้างรายได้ เพื่อเป็นอาหาร เชื้อเพลิง และเส้นใย โดยประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ขน Alphaca คือ “ ประเทศเปรู ” ซึ่งมีการส่งออกเส้นใยอัลปาก้าประมาณ 4,500 ตันต่อปี ทำให้รายได้เข้าประเทศเปรู รวม ๆ แล้ว 68.3 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนมกราคม – พฤศจิกายน ในปี พ.ศ. 2560 ถือว่าประเทศเปรู เป็นผู้ส่งออกเส้นใยรายใหญ่ที่สุดของโลก
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า Alphaca VS Llama มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จึงทำให้มีผู้คนมักสับสนอยู่บ่อย ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า สัตว์ทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกัน ด้วยลามะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามาก ๆ ซึ่งขนาดจะประมาณ 2 เท่าของอัลปาก้า
และมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 250 – 450 ปอนด์ ในขณะที่อัลปาก้าจะมีน้ำหนัก 100 – 175 ปอนด์ ทั้งนี้ ลามะส่วนใหญ่ถูกใช้งานให้เฝ้าฝูงแกะ แต่ในขณะที่อัลปาก้า ถูกเลี้ยงไว้เพื่อให้เป็นสัตว์เลี้ยง และเอาเนื้อ เอาเส้นใย เป็นต้น [3]
สำหรับคำถามที่ว่า อัลปาก้าอันตรายหรือไม่นั้น บล็อกนี้ตอบเลยว่า “ ไม่ ” พวกมันเป็นสัตว์ที่เข้ากับคนง่าย ไม่เอาหัวโขลก ไม่มีเขา ไม่มีกีบเท้าเหมือนสัตว์ชนิดอื่น ๆ แต่มีการเคลื่อนไหวไปมาอย่างสง่างาม มีความคล่องแคล่วในทุ่งหญ้า แต่เมื่อไหร่ที่พบเห็นพวกมันก้าวร้าว ให้คิดไว้เลยว่า พวกมันถูกคุกคามจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่
สิ่งมีชีวิตอย่าง “ อัลปาก้า ” ที่แต่ก่อนเป็นสัตว์ป่า แต่ปัจจุบันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม ที่เลี้ยงไว้เพื่อเอาเนื้อ เอาเส้นใย ถือว่าตอนนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะเปรู สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร แม้กระทั่งประเทศไทย ก็ได้เลี้ยงพวกมันไว้ให้เป็น สัตว์แสดงตัวในคาเฟ่ต่าง ๆ
อัลปาก้าถือเป็นสัตว์ที่มีความน่าสนใจ ถึงแม้จะไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ กับการเลี้ยงพวกมันเป็น สัตว์เลี้ยงในบ้าน เนื่องจากว่าราคาค่าตัวที่แพงหูฉีก รวมถึงค่าใช้จ่ายต่อเดือนในการเลี้ยง ที่เจ้าของจะต้องยอมจ่าย
แต่อัลปาก้าก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่อง รักสะอาด แถมยังขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง หากต้องการเลี้ยงในบริเวณรอบ ๆ บ้าน ไม่ว่าจะในรูปแบบของฟาร์ม หรือไร่ แนะว่าพื้นที่เลี้ยงจะต้องมีขนาดใหญ่ และมีหญ้าแห้ง หญ้าหมักให้พวกมันได้กิน
ด้วยราคาค่าตัวล่าสุด ตัวเลขยังไม่ได้ถูกอัปเดต เนื่องจากราคามีขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ว่าราคาของเส้นใย หรือขน อัลปาก้า เมื่อถูกตัดออกจากตัวแล้ว จะมีราคาขายเป็นกิโลกรัมสูงถึง 30,000 บาท เนื่องจากขนของสัตว์น่ารักชนิดนี้ เป็นขนที่มีความนุ่มที่สุดในโลก ยิ่งหาซื้อช่วงที่มีคนต้องการเยอะ ราคาจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ