
สายสัมพันธ์ แมวกับแม่มด ในยุคกลางของยุโรป ความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ และแม่มด เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกในสังคม ผู้คนหวาดกลัวพลังเหนือธรรมชาติ และมักเชื่อมโยงแม่มด เข้ากับสิ่งชั่วร้าย หนึ่งในสัตว์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดคือ “แมว” โดยเฉพาะแมวดำ ซึ่งถูกมอง ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด หรือที่เรียกกันว่า “ปีศาจรับใช้” (Familiar Spirit)
ในยุคกลางของยุโรป ได้เกิดการล่าแม่มด และทำให้แมว ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นกัน แต่ท่ามกลางความหวาดกลัว และไสยศาสตร์ มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ เกี่ยวกับสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง ระหว่างแมวกับแม่มด ซึ่งไม่ได้มีเพียงด้านมืดเสมอไป เพราะในบางวัฒนธรรม แมวกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ ของปัญญา การปกป้อง และความลึกลับ
ตัวอย่างเช่น ในตำนานอียิปต์โบราณ ที่แมวได้รับการบูชา เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เทพบาสเตต (Bastet) เทพีแห่งการคุ้มครอง และความอุดมสมบูรณ์
หรืออย่างในตำนาน ของชาวนอร์ส ที่เชื่อว่า เทพี เฟรยา (Freyja) เทพีแห่งเวทมนตร์ และความรัก มีรถม้าที่ถูกลากโดยแมวสองตัว ซึ่งอาจเป็นที่มา ของความเชื่อว่าแม่มดและแมว มีความเกี่ยวข้องกัน [1]
ในยุคกลางภาพลักษณ์ของแม่มด ถูกแต่งเติม ไปด้วยความหวาดกลัว และความเชื่อทางไสยศาสตร์ พวกเธอมักถูกมองว่า เป็นหญิงชราอัปลักษณ์ ผมยุ่งเหยิง ผิวซีด มีไฝหรือปานดำ ซึ่งเชื่อว่าเป็นร่องรอยของปีศาจ บ้างก็ถูกกล่าวหา ว่ามีตาแดงก่ำ เพราะใช้เวลาตลอดทั้งคืน เพื่อทำพิธีกรรมต้องห้าม
แม่มดในสายตาของชาวยุโรปยุคกลาง ไม่เพียงแต่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ของความชั่วร้าย ที่สมคบคิดกับปีศาจ พวกเธอมักถูกกล่าวหา ว่าสามารถสาปแช่งผู้คน ทำให้พืชผลล้มเหลว หรือทำให้เด็ก และสัตว์เลี้ยงล้มป่วย
ภาพของแม่มด มักเกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงสังสรรค์ในป่า การทำพิธีกรรมลับ และการขี่ไม้กวาด เพื่อเหาะไปประชุมกับซาตาน
สัตว์อย่างแมว โดยเฉพาะแมวดำ เป็นสัตว์ที่ถูกมองว่า เป็นคู่หูของแม่มด และเชื่อกันว่ามันคือปีศาจ ที่แปลงกายมาเพื่อช่วยเหลือเธอ นอกจากนี้ แม่มดบางคนถูกกล่าวหา ว่าสามารถแปลงร่างเป็นแมว เพื่อลอบเร้น ไปก่อความวุ่นวายในยามค่ำคืน [2]
แต่ในบางวัฒนธรรม ภาพลักษณ์ของแม่มด ไม่ได้เป็นเพียงด้านมืดเสมอไป พวกเธอยังถูกมองว่าเป็นผู้รักษาโรค และใช้สมุนไพรรักษาผู้คน แต่เมื่อกระแส เรื่องความหวาดกลัวแม่มดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงศตวรรษที่ 15-17 การมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร ก็อาจเป็นเหตุให้ถูกกล่าวหา ว่าเป็นแม่มด และนำไปสู่การไต่สวน และการลงโทษอย่างโหดร้าย
“ปีศาจรับใช้” เป็นสิ่งมีชีวิต ที่เชื่อกันว่าแม่มด ใช้ในการช่วยร่ายเวทมนตร์ หรือเป็นผู้ส่งสาร ระหว่างแม่มด กับโลกปีศาจ แมวมักถูกกล่าวหา ว่าเป็นหนึ่งในปีศาจรับใช้ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีลักษณะเงียบ ขี้ระแวง และดูเหมือนว่า จะเข้าใจโลกเหนือธรรมชาติ
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ หญิงที่ถูกกล่าวหา ว่าเป็นแม่มดหลายคน มักมีแมวเลี้ยง และในระหว่างการสอบสวน หรือไต่สวน พวกเธอถูกกล่าวหาว่า สามารถพูดคุยกับแมว หรือแมวของพวกเธอ มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การจ้องมองอย่างลึกลับ หรือการหายตัวไปในเวลาที่สำคัญ
ในช่วงการล่าแม่มด ระหว่างศตวรรษที่ 16-17 แมวตกเป็นเป้าหมายไปด้วย มีการเผาทั้งแม่มดและแมว ในข้อหาทำพันธสัญญากับปีศาจ ว่ากันว่าการลดลงของประชากรแมว ในยุโรปช่วงเวลานั้น ส่งผลให้จำนวนหนูเพิ่มขึ้น และอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิด กาฬโรค (Black Death) แพร่ระบาดอย่างหนัก [3]
แม้ว่าในยุคกลางแมวจะถูกมองว่า เป็นสัตว์ของแม่มดในแง่ลบ แต่ในปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของแมว ในโลกของเวทมนตร์ได้เปลี่ยนไปมาก
เรื่องของแมวและแม่มด ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องราวลี้ลับ ที่น่าสนใจ และมีอิทธิพล ต่อวัฒนธรรมสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในวรรณกรรม ภาพยนตร์ หรือความเชื่อทางจิตวิญญาณ ของผู้คนในปัจจุบัน
สรุป เรื่องราวของแมวและแม่มด สะท้อนถึงความเชื่อ ทางวัฒนธรรม และสังคมที่เปลี่ยนแปลง ไปตลอดประวัติศาสตร์ จากการเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สู่การถูกตราหน้า ว่าเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจในยุคกลาง และในปัจจุบัน แมวกลับมาเป็นที่รักของผู้คนอีกครั้ง พร้อมกับภาพลักษณ์ของแม่มด ที่เปลี่ยนจากปีศาจ ไปเป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับ
ลักษณะที่ลึกลับของแมว – แมวเป็นสัตว์ที่ เงียบ เคลื่อนที่อย่างนุ่มนวล และดูเหมือนจะมองเห็น สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกมัน ถูกมองว่าเป็นสัตว์ ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
พฤติกรรมตอนกลางคืน – แมวเป็นสัตว์หากินกลางคืน ซึ่งทำให้ถูกเชื่อมโยงกับ ความลึกลับ เวทมนตร์ และปีศาจ
ตำนานเกี่ยวกับ “แฟมิเลีย” (Familiar Spirits) – ในยุคกลางเชื่อกันว่าแม่มด มีสัตว์รับใช้ที่เรียกว่า “แฟมิเลีย” (Familiar) ซึ่งเป็นปีศาจ ที่แปลงร่างเป็นสัตว์เลี้ยง เช่น แมว นกฮูก หรือค้างคาว เพื่อช่วยแม่มดทำพิธีกรรม
แม้ว่าชาวยุโรปในอดีต จะหวาดกลัวแมว แต่ปัจจุบันพวกมันได้รับการยกย่อง ให้เป็นสัตว์ที่ทรงพลัง และลึกลับในทางเวทมนตร์ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่สนใจในศาสตร์ลึกลับ และไสยศาสตร์