ส่องชีวิต ราชาแห่งอาร์กติก หมีขั้วโลก นักล่าเสี่ยงสูญพันธุ์

ราชาแห่งอาร์กติก

ราชาแห่งอาร์กติก สัตว์ยักษ์ใหญ่ตัวสีขาว นักล่าที่แท้จริงของดินแดนอาร์กติก อย่าง “ หมีขั้วโลก ” ( Polar Bear ) ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร เพราะถูกการยอมรับว่าเป็น สัตว์นักล่าชั้นยอด ที่มีรูปร่างขนาดใหญ่ แต่สามารถซ่อนตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ บล็อกนี้จะพามาพบกับชีวิตของหมีขาว สัตว์ด่านหน้าของภาวะโลกร้อน ตามด้วยข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ

Polar Bear ผู้ล่าดุร้าย สัตว์โลกบัญชีแดงเสี่ยงสูญพันธุ์

ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ของดินแดนแห่งอาร์กติก หรือขั้วโลกเหนือ พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งที่หนาวเย็น ลมที่พัดผ่านตลอดทั้งวันทั้งคืน ด้วยสภาพแวดล้อมที่รุนแรง บางวันสภาพอากาศก็อาจเปลี่ยนแปลงไป ทั้งแบบลมพัดแรง ทั้งแบบน้ำแข็งละลาย หรือเข้าหน้าร้อน แต่ละวันนับว่ามีแต่เรื่องท้าทายให้พบเจอ อาจเป็นเรื่องยากสำหรับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพอากาศแบบนี้

แต่กลับมีสัตว์ผู้ล่าที่สามารถเอาตัวรอด หาอาหารกินจากสภาพอากาศที่รุนแรงแบบนี้ได้ อย่าง “ หมีขั้วโลก ” ( Polar Bear ) ราชาแห่งอาร์กติก กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และอันดับสัตว์กินเนื้อบนพื้นดิน ที่มีอาณาเขตการล่าใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม หมีขาวยังเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศรัสเซีย

ลักษณะเฉพาะ และถิ่นที่อยู่อาศัย

นักล่าแห่งอาร์กติกที่ยิ่งใหญ่ มีรูปร่างขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองลงมาจากหมีกริซลี ( Grizzly Bear ) โดยตัวผู้ที่โตเต็มวัยอาจมีความยาวลำตัว 3 เมตรขึ้นไป ส่วนน้ำหนักอาจหนักได้มากถึง 700 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียจะมีขนาดความยาวลำตัว ที่มีขนาดเล็กกว่าตัวผู้อย่างเห็นได้ชัด

โดยความยาวลำตัวอยู่ที่ 2 เมตรขึ้นไป ส่วนน้ำหนักจะเฉลี่ยไม่เกิน 300 กิโลกรัม ทั้งนี้ รูปร่างของหมีขาวจะแตกต่างจากหมีชนิดอื่น ๆ ด้วยคอที่ยาวกว่า ใบหูขนาดเล็ก อุ้งเท้าขนาดใหญ่ สีขนสีขาวที่เป็นจุดเด่น แถมอายุขัยยังเฉลี่ยที่ 30 ปี จึงทำให้พวกมันได้รับการขนานนามว่าเป็น สัตว์เจ้าป่า แห่งดินแดนอาร์กติกอันหนาวเหน็บ [1]

อย่างไรก็ตาม ผู้ล่าอันตรายของดินแดนอาร์กติก ยังมีผู้ล่าขนาดใหญ่อีกหนึ่งชนิด ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารทางทะเล อย่าง แมวน้ำเสือดาว ( Leopard Seal ) สัตว์ใต้น้ำที่ถูกยกให้เป็น ราชาแห่งทะเล ที่มีความสามารถในการจับปลา กินเป็นอาหารอีกด้วย

การกินอาหาร และการล่าสัตว์

ยักษ์ใหญ่สีขาว สัตว์กินเนื้อเลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ที่มักจะกินเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่อาศัยบริเวณอาร์กติก อาทิเช่น แมวน้ำ หรือวอลรัส บลา ๆ นอกจากจะกินสัตว์เหล่านี้เป็นอาหารแล้ว พวกมันยังล่าวาฬบรูด้ากินเป็นอาหารอีกด้วย

เนื่องจากดินแดนอาร์กติกที่เต็มไปด้วยทะเลแล้ว ส่วนบนยังถูกปกคลุมไปด้วยธารน้ำแข็ง ที่มีวาฬบรูด้าสัตว์ใต้น้ำอาศัยอยู่ ซึ่งสัตว์ใต้น้ำชนิดนี้จะต้องขึ้นบนผิวน้ำ เพื่อเติมออกซิเจนให้ร่างกายประมาณ 20 นาที โดยช่วงที่เติมออกซิเจน

วาฬบรูด้าอาจถูกหมีขาวที่กำลังซ่อนตัว หรือกำลังรอเวลาพุ่งจู่โจมได้ นอกจากนี้ หากอาหารเริ่มขาดแคลน พวกยักษ์สีขาวก็ไม่รังเกียจที่จะล่าปลากิน อีกทั้งวัน ๆ หนึ่งพวกมันสามารถกินเนื้อได้ถึง 60 กิโลกรัมต่อวัน แต่ถ้าสัตว์กินเนื้อไม่ได้กินอาหารนานเกิน 180 วัน หรือประมาณ 6 เดือน น้องอาจเสี่ยงเสียชีวิตได้ [2]

หมีขาว ราชาแห่งอาร์กติก นักล่าด่านหน้าของภาวะโลกร้อน

ราชาแห่งอาร์กติก

อย่างที่ทราบกันดีว่า หมีขาวเป็นสัตว์นักล่าของดินแดนอาร์กติก ดินแดนที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็ง ปกคลุมหลายล้านตารางกิโลเมตร แต่ปัจจุบันวิถีชีวิตของ ราชาแห่งอาร์กติก กำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ซึ่งโลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมละลายอย่างรวดเร็ว โดยปริมาณน้ำแข็งที่ละลายลดลงไปเกือบ 100 ละ 50 ในช่วงฤดูร้อน เมื่อน้ำแข็งละลายไป แน่นอนว่า ส่งผลให้ถิ่นที่อยู่อาศัย บวกพื้นที่ล่าของหมีขาวหายไป จึงทำให้การออกล่าแมวน้ำ หรือวอลรัสลำบากขึ้นกว่าเดิม จนถึงขั้นพวกมันต้องกินสาหร่ายเป็นอาหารแทน

แต่ถ้าโชคดีอาจเจอซากแมวน้ำ หรือซากสัตว์อื่น ๆ ได้ ทั้งนี้ สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในโลก ณ ขณะนี้ อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสัตว์โลก ทรัพย์สิน รวมถึงมนุษย์ ด้วยเรื่องราวเหล่านี้เองที่กำลังสะท้อนให้เห็นถึง ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก [3]

ความสัมพันธ์กับมนุษย์ ในด้านแสวงหาประโยชน์

สำหรับความสัมพันธ์ของหมีขั้วโลก ร่วมกับมนุษย์นั้น จะมาในด้านของการแสวงหาประโยชน์ โดยหมีขาวอยู่ร่วมกัน และได้โต้ตอบกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่รอบขั้วโลกเหนือ มานานเป็นเวลาหลายพันปี ซึ่งเมื่อศตวรรษที่ 7 ที่ผ่านมานานแล้วนั้น หมีขั้วโลกเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ในหนังสือญี่ปุ่น ส่วนศตวรรษที่ 13

พวกมันได้ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ลงในหนังสือของประเทศนอร์เวย์ เป็นต้น จนกระทั่งหมีขั้วโลกถูกล่ามาตั้งแต่ 8,000 ปีก่อน ตามหลักฐานทางโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุด อีกทั้งชาวนอร์สในกรีนแลนด์ มีการค้าขายขนหมีขาวในยุคกลาง และรัสเซียเองก็ค้าขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ Polar Bear จนมีการตั้งศูนย์การค้าที่ขายเกี่ยวกับนักล่าชนิดนี้ด้วย

อัตราเสียชีวิต ราชาแห่งอาร์กติก สู่สถานะการอนุรักษ์

สัตว์โลกที่เป็นตัวบ่งชี้ของภาวะโลกร้อน มีอายุขัยนานถึง 30 ปี แต่ถ้าเป็นลูกหมีบางตัวอาจอยู่ได้นาน แต่บางตัวอาจเสียชีวิตตั้งแต่ในถ้ำ หรือในครรภ์ หากแม่หมีร่างกายไม่แข็งแรง อีกทั้งลูกหมีอาจตายด้วยฝีมือของหมีตัวผู้ เพราะหมีตัวผู้ต้องการให้แม่หมีที่ดูแลลูก ๆ กลับมามีอาการติดสัดอีกครั้ง

นี่เห็นได้ชัดเจนเลยว่า กว่า ราชาแห่งอาร์กติก จะเติบโตจนเป็นอิสระได้นั้น มักจะต้องเจอกับช่วงชีวิตที่ยากลำบาก จึงทำให้อัตราการเสียชีวิตของหมีขาวเพิ่มขึ้นทุกปี จนกระทั่งพวกมันได้รับสถานะการอนุรักษ์ และถูกเพิ่มรายชื่อเข้าบัญชีแดงของ IUCN

เพื่อเป็นการจัดประเภทให้ Polar Bear เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากอัตราการตายที่เพิ่มขึ้น พื้นที่ที่อยู่อาศัย พื้นที่ล่าหาอาหารหายไป รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายขึ้น โดยมีการคาดการณ์กันว่า จำนวนประชากรพวกมันทั้งหมด อาจเหลืออยู่ประมาณ 22,000 – 31,000 ตัว

สรุป ราชาแห่งอาร์กติก

สัตว์โลกสุดมหัศจรรย์ ผู้เป็นตัวบ่งชี้ภาวะโลกร้อน หากธารน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลาย แน่นอนว่า จำนวนของหมีขั้วโลกก็ลดลงเช่นกัน สัตว์อันตรายของดินแดนอาร์กติก ปัจจุบันอยู่ในบัญชีแดงของ IUCN สัตว์ที่เสี่ยงใกล้สูญพันธุ์

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน
Picture of Pet Noi
Pet Noi

แหล่งอ้างอิง