
ยี่ห้ออาหารสัตว์เล็ก ไม่ว่าจะเกรดมาตรฐาน เกรดพรีเมี่ยม เกรดแบบองค์รวม หรือเกรดปราศจากธัญพืช ก็ล้วนทำขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ ความต้องการของสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก
แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงในบ้าน ขนาดใหญ่ก็ตาม ต่างก็ต้องการแบรนด์อาหาร ที่มีคุณภาพ รสชาติดี ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย บทความนี้ได้คัดสรรมาให้ ผู้ปกครองเด็กมือใหม่ ที่เพิ่งรับน้อง ๆ มาดูแล ได้ศึกษากันก่อน
เริ่มก่อนเลยของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งในประเทศไทยได้ขยายเติบโต เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจาก “ พฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไป ” ถ้าอิงตามข้อมูลจะพบว่า หลายครอบครัว หลายผู้ปกครอง เลือกที่จะเลี้ยงสัตว์แทนการมีลูก
แต่ละครอบครัวยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อซื้ออาหารเปียก อาหารเม็ดสำหรับสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก และขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น โดยแต่ละครอบครัวก็มีค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับเกรดของอาหารที่เลือก
สำหรับค่าใช้จ่าย ของคนที่เลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก Small Pets ส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่าย ในการเลือกซื้อ ยี่ห้ออาหารสัตว์เล็ก มากกว่า 300 – 500 บาทต่อเดือน ซึ่งพบว่ามากกว่า 29% บางครอบครัวก็ 500 – 800 บาทต่อเดือน และ 800 – 1,500 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มครอบครัวสองกลุ่มนี้ จะมีสัดส่วนที่ 23% และ 22% [1]
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับแบรนด์อาหารต่าง ๆ แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับอาหาร ที่สัตว์เลี้ยงสามารถกินร่วมกับคนได้ อย่างซุปเปอร์ฟู้ด หรือ Superfood รวมถึงบาร์ฟอาหารดิบ ซึ่งเป็น อาหารสัตว์ขนาดเล็ก ที่จะต้องให้กินในปริมาณ ตามช่วงอายุของวัย นอกจากสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กจะกินได้แล้ว สัตว์เลี้ยงในบ้านขนาดใหญ่ ก็สามารถกินได้เช่นกัน
ในส่วนของรูปแบบอาหาร ที่กำลังนิยมในสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็น แมว, สุนัข, หนูแกสบี้, หมูแคระ, ชินชิล่า เป็นต้น ตอนนี้จะเป็นอาหารแห้ง 78% ส่วนอาหารเปียกจะค่อนข้างนิยม ในกลุ่มของคนที่เลี้ยงแมว โดย 49% ของกลุ่มทาสแมว มีการให้อาหารเปียก อีกทั้งการให้อาหารเปียกในแมว จะได้รับความนิยม มากกว่ากลุ่มคนที่เลี้ยงสัตว์เล็กอื่น ๆ 72%
ว่าด้วยการเลือกเกรดของ ยี่ห้ออาหารสัตว์เล็ก บทความนี้จะแบ่งออกมา ตามคุณภาพของส่วนผสม รวมถึงวัตถุดิบที่บรรจุลงไป โดยเราได้แบ่งออกมาตามมาตรฐานสากล รายละเอียดดังนี้
มาตรฐาน Standard Grade : เป็นระดับที่พบบ่อยที่สุด มักเห็นได้ตามโฆษณาต่าง ๆ วางขายอยู่ร้านทั่วไป หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง วัตถุดิบส่วนใหญ่จะเป็น เนื้อไก่, เนื้อวัว, เครื่องใน, กระดูก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีส่วนผสมของธัญพืชต่าง ๆ อาทิเช่น ถั่วเหลือง, ข้าวเจ้า, ข้าวสาลี, ข้าวโพด เป็นต้น
พรีเมี่ยม Premium Grade : ระดับนี้มีสารอาหารที่หลากหลายกว่า ถูกทำแยกออกมาเป็นสูตรเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น การบำรุงสายตา, การบำรุงขน, การบำรุงกระดูก เป็นต้น วัตถุดิบจะมีคุณภาพสูงกว่า ราคาก็สูงกว่า Standard Grade เช่นกัน
แบบองค์รวม Holistic Grade : ระดับนี้ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยม เพราะส่วนผสมต่าง ๆ ดีต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก แต่อาจมีราคาแพงกว่า Premium Grade วัตถุดิบหลัก ๆ จะเป็น เนื้อแกะ, เนื้อปลาแซลมอน, เนื้อไก่งวง เป็นต้น
ปราศจากธัญพืช Grain Free : ระดับนี้ถูกพัฒนามาจาก Holistic Grade ใช้ส่วนผสมเดียวกับที่คนกิน แต่จะปราศจากธัญพืช ที่สัตว์เลี้ยงขนาดเล็กแพ้
ที่มา: โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน – อาหารสัตว์เลี้ยงมีกี่เกรด แต่ละเกรดต่างกันอย่างไรบ้าง? [2]
ในปัจจุบันแบรนด์อาหารสัตว์ มีให้เลือกมากมายในตลาด หรือช่องทางร้านค้าออนไลน์ แต่ละแบรนด์ต่างมีจุดเด่น ข้อดี ข้อด้อยต่างกัน แต่ถ้าเป็นแบรนด์อาหารของสุนัข รวมถึงแมวที่ผู้ปกครอง ต่างจะต้องเลือกหยิบใส่ตะกร้า
ส่วนใหญ่จะเป็น 4 แบรนด์นี้ Royal Canin, Smart Heart, Friskies, Pedigree แต่ถ้าผู้ปกครองอยากเซฟเงินมากขึ้น ก็สามารถเลือก Me-O, Whiskas, Lifemate, IAMS ก่อนได้ [3]
สำหรับปัจจัยที่เจ้าของส่วนใหญ่ ต่างให้ความสำคัญต่อการเลือกซื้อ ยี่ห้ออาหารสัตว์เล็ก อย่างแรกเลย อาหารที่เหมาะสมกับขนาดลำตัว, เหมาะสมกับช่วงวัย รวมถึงราคา 3 ปัจจัยหลัก
ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญรองลงมา คงจะเป็นแบรนด์ สารอาหาร คุณประโยชน์ทางโภชนาการ รวมถึงความน่าเชื่อถือ หากต้องการดูแลเพื่อนซี้ เหล่าผู้ปกครองอาจจะต้อง คำนึงถึงปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ก่อนจะตัดสินใจซื้อ
การตัดสินใจเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ ควรคัดสรรแบรนด์อาหาร ให้เข้ากับขนาดของลำตัว เข้ากับช่วงวัย เพื่อให้เพื่อนซี้ได้รับสารอาหาร ได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม