
ประวัติ เชฟหนูเรมี (Remy) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Little Chef เป็นตัวเอกในภาพยนตร์ Ratatouille ของดิสนีย์และพิกซาร์ เขาเป็นหนูตัวน้อย ที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ และไม่ธรรมดา เพราะเขาหลงใหลในศิลปะการทำอาหาร ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลก และไม่เหมาะสมในสายตาของหนูทั่วไป ที่ปกติแล้วมักจะมองหาอาหาร จากกองขยะ
เชฟหนูน้อย เรมี (Remy) มีพรสวรรค์พิเศษ ในด้านการดมกลิ่น และรสชาติ เขาสามารถแยกแยะวัตถุดิบ และเครื่องปรุงได้อย่างแม่นยำ ทำให้เขาสามารถสร้างสรรค์อาหาร ที่มีรสชาติยอดเยี่ยมได้ เขาเป็นตัวละครที่มุ่งมั่น ใฝ่ฝันถึงการจะเป็นเชฟในระดับสูง แม้ว่าจะต้องต่อสู้ กับข้อจำกัดต่างๆมากมาย
อย่างการที่เขาเป็นหนู และความขัดแย้ง กับธรรมเนียมของครอบครัว ที่มองว่าอาหารเป็นเพียงแค่สิ่งที่ต้องหามา และกินเพื่อเอาชีวิตรอด
เรมีมีแรงบันดาลใจจากกุสโต (Chef Auguste Gusteau) เชฟผู้โด่งดังที่เขาชื่นชม และมักอ้างคำพูดประจำของกุสโตว่า “ใครๆก็ทำอาหารได้” คำพูดนี้ช่วยผลักดันเรมีให้ก้าวข้ามความกลัว และพยายามทำตามความฝันของเขา [1]
คำว่า “Anyone can cook” (ใครๆก็ทำอาหารได้) ของกุสโต ไม่ได้หมายความว่าใครก็สามารถเป็นเชฟชั้นเลิศได้ในทันที แต่สื่อถึงความเชื่อที่ว่า ความหลงใหล ความพยายาม และความคิดสร้างสรรค์ สามารถพาใครก็ตาม ให้ทำสิ่งที่ดูเหมือนเกินตัวได้ คำพูดนี้เป็นเหมือนคติประจำใจของเรมี ช่วยให้เขามองข้ามข้อจำกัด ที่มาพร้อมกับการเป็นหนู
ซึ่งปกติแล้ว จะถูกมองว่าเป็นศัตรูในครัว ที่ไม่มีทางได้รับการยอมรับ ในโลกของมนุษย์ เรมีไม่ได้แค่ท่องจำคำพูดนี้ แต่เขาเชื่ออย่างลึกซึ้ง ว่าทุกคนรวมทั้งเขา มีสิทธิ์ที่จะฝัน และทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้ ความเชื่อนี้ทำให้เขาไม่ย่อท้อ ต่อความลำบาก เช่น การต้องหลบซ่อนตัวจากมนุษย์ ความไม่เข้าใจของครอบครัว และการเผชิญหน้ากับโลก ที่ปฏิเสธเขา
แม้กุสโตจะเสียชีวิต ไปก่อนที่เรมีจะได้พบเขา แต่ตัวตนของกุสโตยังคงมีชีวิตอยู่ ในรูปแบบของ “จินตนาการ” หรือภาพหลอนกุสโต ที่เรมีพูดคุยด้วยในจินตนาการของเขา ภาพของกุสโต ไม่ได้เป็นเพียงที่ปรึกษาในครัว แต่ยังเป็นเหมือนเพื่อน ที่ช่วยให้เรมีมองเห็นเส้นทางของตัวเอง ในยามที่เขารู้สึกสับสนหรือกลัว กุสโตในจินตนาการของเรมี
เป็นเสียงสะท้อนความหวัง และคำแนะนำ ที่ช่วยให้เรมีตัดสินใจในช่วงเวลาสำคัญ เช่น การเลือกช่วยลิงกวินีสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ หรือการเลือกเผชิญหน้ากับ อันโตนี อีโก้ (นักวิจารณ์อาหารผู้เย็นชา) นอกจากแนวคิดใครๆก็ทำอาหารได้ ของกุสโตจะมีผลกระทบต่อเรมีแล้ว ยังส่งผ่านถึงผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง มันเป็นคำพูด ที่ท้าทายความคิดแบบเดิมๆ
ว่าความสำเร็จนั้น สงวนไว้เฉพาะสำหรับ คนที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดเท่านั้น กุสโตแสดงให้เห็นว่าทุกคน สามารถพัฒนาความสามารถของตัวเองได้ ไม่ว่าจะมาจากพื้นฐานแบบไหน คำพูดนี้ช่วยให้ผู้ชม โดยเฉพาะเด็กๆ และคนที่รู้สึกด้อยค่าในตัวเอง ได้เชื่อมั่นในศักยภาพ และพยายาม ที่จะไล่ตามสิ่งที่ตัวเองรัก
ประวัติ เชฟหนูเรมี ในเรื่อง Ratatouille อาศัยอยู่กับฝูงหนู ในชนบทของฝรั่งเศส ภายใต้การดูแลของพ่อเขา จังโก้ (Django) ซึ่งเป็นผู้นำของฝูงหนู จังโก้มักคอยเตือนเรมีอยู่เสมอ ว่าการไว้ใจมนุษย์เป็นเรื่องที่อันตราย และอาจนำภัยมาสู่ฝูงหนูทั้งหมด ความคิดนี้เป็นสิ่งที่ฝังแน่น ในวัฒนธรรมของฝูงหนู ที่มองมนุษย์ว่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติ
ในช่วงต้นของภาพยนตร์ เราได้เห็นว่าเรมีแตกต่างจากหนูตัวอื่นๆ อย่างชัดเจน เขามีประสาทรับกลิ่นที่ไวเป็นพิเศษ สามารถแยกแยะกลิ่น และรสชาติของส่วนผสมต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ทำให้เขากลายเป็น “ตัวตรวจสอบพิษ” ของฝูงหนูโดยไม่ตั้งใจ ความแม่นยำในประสาทสัมผัสของเรมี ช่วยให้เขาสามารถระบุได้ ว่าอาหารชนิดใดปลอดภัย
ในขณะเดียวกัน หนูเอมีล พี่ชายของเรมี ซึ่งมีบุคลิกที่ผ่อนคลาย และมักมองหาความสุขง่ายๆ จากอาหารทุกชนิดที่หาได้ เอมีลชื่นชมในสิ่งที่เรมีทำได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าใจ ถึงความหลงใหลในอาหารระดับสูงของเรมี ความสัมพันธ์ของเรมีกับเอมีล สะท้อนถึงความแตกต่าง ในวิธีการมองโลกของทั้งสอง แต่ก็เต็มไปด้วยความรักแบบครอบครัว [2]
โชคชะตานำพาเรมีมาสู่กรุงปารีส และเขาพลัดหลงเข้าไปในครัว ของภัตตาคารชื่อดัง Gusteau’s ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภัตตาคารระดับ 5 ดาว แต่กำลังตกอยู่ในภาวะยากลำบาก หลังจากการเสียชีวิตของกุสโต และการลดระดับ จากนักวิจารณ์อาหารชื่อดัง อันโตนี อีโก้ (Anton Ego)
ในครัวนี้เรมีได้พบกับลิงกวินี (Alfredo Linguini) เด็กหนุ่มคนทำความสะอาด ของภัตตาคาร “Gusteau’s” แต่ลิงกวินีบังเอิญทำซุปเสียหาย เรมีซึ่งไม่อาจทนเห็นอาหาร ถูกทำลายได้ จึงตัดสินใจแก้ไขซุป จนกลายเป็นจานที่มีรสเลิศ อย่างน่าประหลาดใจ ลิงกวินีถูกเข้าใจผิด ว่าเป็นคนทำอาหารจานนั้น และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพ่อครัว
เรมีจึงเข้ามาช่วยลิงกวินีในฐานะ “เชฟลับ” ด้วยการควบคุมเขา โดยการดึงผมของลิงกวินีเหมือนหุ่นเชิด แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรมี กับลิงกวินี จะเริ่มต้นด้วยความขัดแย้ง และความไม่ไว้ใจกัน แต่พวกเขาก็พัฒนามิตรภาพที่ลึกซึ้ง และช่วยกันสร้างสรรค์อาหารที่ยอดเยี่ยม ซึ่งทำให้ภัตตาคารนี้ ได้รับความนิยมอีกครั้ง [3]
แม้ว่าสุดท้าย ความจริงเรื่องที่เรมีเป็นหนู จะถูกเปิดเผย และทำให้ภัตตาคารกุสโต ถูกปิดตัวลง แต่เรมี ลิงกวินี และโคลเล็ตต์ (Colette) เชฟผู้ร่วมงาน ได้เปิดร้านอาหารเล็กๆแห่งใหม่ชื่อ La Ratatouille ซึ่งประสบความสำเร็จ และกลายเป็นสถานที่ ที่ทั้งมนุษย์ และหนูสามารถอยู่ร่วมกันได้
สรุป เรมีไม่ได้เป็นแค่ “เชฟที่ดี” แต่เขาเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ในการฝันใหญ่ แม้ว่าทุกคนรอบตัว จะบอกว่าเขาไม่มีทางทำได้ นอกจากนี้ Ratatouille ยังแสดงให้เห็นถึงความหลากหลาย ในศิลปะการทำอาหาร และความงดงาม ของการแบ่งปันความสุขผ่านจานอาหาร เรมีเป็นตัวละครที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้กับผู้ชมทุกวัย
กุสโตเป็นเชฟ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในปารีส และเคยเป็นเจ้าของภัตตาคาร Gusteau’s ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างสูง ด้วยระดับดาว 5 ดาวจาก Guide Michelin เขาเป็นที่รู้จักในด้านการสร้างสรรค์อาหารฝรั่งเศส ที่ทั้งประณีต และเข้าถึงได้ นอกจากเป็นเชฟฝีมือเยี่ยมแล้ว กุสโตยังเป็นนักเขียนชื่อดัง ที่ขายดีทั่วโลก ชื่อว่า Anyone Can Cook
ฝูงหนูต้องมีผู้ตรวจสอบพิษ เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากอาหารที่พวกมันหาได้ อาจปนเปื้อนสารพิษ หรือสิ่งอันตราย เรมีมีความสามารถพิเศษในการดมกลิ่น และแยกแยะส่วนผสมได้อย่างแม่นยำ จึงได้รับหน้าที่นี้โดยปริยาย หน้าที่นี้สำคัญมาก เพราะช่วยป้องกันฝูงหนูจากการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย