ฉลามเสือ นักล่าตัวฉกาจ

ฉลามเสือ

ฉลามเสือ (Tiger Shark) เป็นสัตว์ทะเล ที่เป็นที่รู้จักกันดี ในวงการชีววิทยาทางทะเล เนื่องจากเป็นหนึ่งในฉลาม ที่มีขนาดใหญ่ และมีพฤติกรรมการล่า ที่เป็นเอกลักษณ์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Galeocerdo cuvier ฉลามตัวนี้มีลักษณะเด่นคือ เส้นสีเข้มที่ข้างลำตัว ซึ่งคล้ายกับลายของเสือ เลยเป็นที่มาของชื่อ “ฉลามเสือ” นั่นเอง บทความนี้จะรวบรวมข้อมูล ของฉลามชนิดนี้ มาให้รู้จักกันมากขึ้น

ลักษณะทั่วไป ของฉลามเสือ

ฉลามเสือ(Tiger Shark) มีลักษณะร่างกายที่แข็งแรง ลำตัวป้อมอ้วน ปลายปากสั้นและทู่ แต่มีหางที่ทรงพลัง ทำให้มันเป็นนักว่ายน้ำที่รวดเร็ว และสามารถล่าสัตว์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พื้นลำตัวและครีบ เป็นสีน้ำตาลหม่น มีลายพาดขวางตลอดข้างหลัง และหางคล้ายลายของเสือ พวกมันมีความยาวเฉลี่ย ประมาณ 3-4 เมตร และบางตัวอาจยาวได้ถึง 5 เมตร หรือมากกว่า น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 200-900 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาด และอายุ เป็นฉลามที่ดุเป็นที่สอง รองมาจาก ฉลามขาว

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์

  • อาณาจักร : Animalia
  • ไฟลัม : Chordata
  • ชั้น : Chondrichthyes
  • ชั้นย่อย : Elasmobranchii
  • อันดับ : Carcharhiniformes
  • วงศ์ : Carcharhinidae
  • สกุล : Galeocerdo Müller & Henle
  • สปีชีส์ : G. cuvier
  • ชื่อทวินาม : Galeocerdo cuvier

ที่มา: “ปลาฉลามเสือ” [1]

ถิ่นที่อยู่อาศัย

ฉลามเสือพบได้ทั่วโลก ในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน มักอาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้น หากินตามแนวปะการัง หรือบริเวณใกล้ชายฝั่ง หรือบริเวณปากแม่น้ำ โดยอาศัยตั้งแต่ระดับผิวน้ำ จนถึงความลึก 140 เมตร แต่บางครั้ง ก็สามารถพบได้ในน้ำลึก ที่ห่างไกลจากชายฝั่งเช่นกัน พวกมันมีการเคลื่อนย้ายตามฤดูกาล เพื่อตามหาแหล่งอาหาร และพื้นที่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต

การสืบพันธุ์ของฉลามเสือ

ฉลามเสือปฏิสนธิภายใน และออกลูกเป็นตัว สามารถให้กำเนิดลูกได้ถึง 80 ตัว หรือมากกว่านั้น หลังจากที่ลูกฉลามเสือเกิดออกมา ก็จะกลายเป็นนักล่า โดยสัญชาตญาณ พวกลูกฉลามเสือ มักจะอาศัยอยู่ปากแม่น้ำ หรืออ่าว ซึ่งจะแตกต่างจาก ฉลามเสือที่โตเต็มที่แล้ว จะอยู่ชายฝั่งเปิด หรือแนวปะการัง ลูกฉลามเสือจะกินปลาชายฝั่ง สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และจะเจริญเติบโต ไปเป็นฉลามวัยเจริญพันธุ์อีกครั้ง [2]

ฉลามเสือ

ฉลามเสือ ถังขยะของทะเล

ฉลามเสือเป็นนักล่า ที่ไม่เลือกกินอาหาร พวกมันสามารถกินสัตว์ทะเล ได้หลายประเภท เช่น ปลา, เต่าทะเล, แมงกะพรุน, นกทะเล, กระเบน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทางทะเลขนาดเล็ก นอกจากนี้ พวกมันยังมีชื่อเสียงในการกินขยะ หรือสิ่งแปลกปลอม ที่มนุษย์ทิ้งลงในทะเล เช่น เศษพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลม และแม้กระทั่งยางรถยนต์ ซึ่งทำให้ฉลามเสือมีชื่อเสียงในฐานะ “ถังขยะของทะเล”

ความสำคัญทางนิเวศวิทยา

ในฐานะนักล่าชั้นยอด ฉลามเสือมีบทบาทสำคัญ ในระบบนิเวศทางทะเล พวกมันช่วยควบคุมประชากร สัตว์ทะเลอื่นๆ และทำให้เกิดความสมดุล ในธรรมชาติ โดยเฉพาะการควบคุมจำนวนสัตว์ ที่อาจทำลายสภาพแวดล้อม ทางทะเล เช่น ปลาสายพันธุ์ที่กินปะการัง หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ และทำให้สัตว์ทะเลอื่น ๆ มีความเป็นอยู่ที่ดี และเจริญเติบโตที่ดีต่อไป

ภัยคุกคาม ที่ฉลามเสือต้องเจอ และการอนุรักษ์ให้คงอยู่

แม้ว่าฉลามเสือจะเป็นนักล่า ที่น่าเกรงขาม แต่ในปัจจุบันพวกมัน กำลังเผชิญกับความเสี่ยง จากการคุกคามต่างๆ เช่น การประมงเกินขนาด การล่าฉลามเพื่อนำครีบ ไปทำซุปหูฉลาม และการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย จากการเปลี่ยนแปลง ของสภาพแวดล้อมทางทะเล องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมหลายแห่ง จึงได้ริเริ่มโครงการอนุรักษ์ฉลามเสือขึ้นมา เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาส ในการอยู่รอดของพวกมัน [3]

หนึ่งในมาตรการสำคัญ ในการอนุรักษ์คือ การสร้างพื้นที่คุ้มครองทางทะเล ซึ่งเป็นเขตที่ห้ามทำประมง และห้ามการล่าฉลามในทุกกรณี นอกจากนี้ การรณรงค์ให้ความรู้แก่สาธารณชน เกี่ยวกับความสำคัญ ของฉลามเสือและการลดการใช้วัตถุดิบ ที่มาจากการล่าฉลามก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่จะช่วยปกป้องพวกมันได้

สรุป ฉลามเสือTiger Shark

สรุป ฉลามเสือเป็นสัตว์ทะเล ที่มีบทบาทสำคัญ ในระบบนิเวศทางทะเล แม้ว่าพวกมันจะมีชื่อเสียง ในฐานะนักล่าที่ดุร้าย แต่ในความเป็นจริง ฉลามเสือมีความสำคัญ ในการรักษาสมดุลของธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการล่า และการทำลายถิ่นที่อยู่ ทำให้จำนวนของฉลามเสือลดลง อย่างน่ากังวล การอนุรักษ์และปกป้องพวกมัน เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนัก และร่วมมือกันเพื่อรักษา ให้คงอยู่ต่อไป

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง